|
Aerith Gainsborough
エアリス・ゲインズブール
เพศ : หญิง
วันเกิด : 7 กุมภาพันธ์ [µ]-εγλ
1985
อายุ : 22 ปีในภาคหลัก
กรุ๊ปเลือด : O
สถานที่เกิด : Icicle Lodge
ส่วนสูง : 163
เซนติเมตร
อาวุธ : คฑา
|
หนูน้อยกับการตามล่าของชินระ |
บริษัทผลิตพลังงานไฟฟ้าชินระมีโครงการวิจัยการสร้างมนุษย์ที่มีความสามารถของเผ่าโบราณขึ้นเพื่อตามหาดินแดนแห่งพันธสัญญา
ดินแดนซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่ามีปริมาณมาโคอยู่มากมายและจะสร้างผลกำไรมหาศาลให้แก่บริษัท
ศจ.กัสต์ ฟาเรมิส
หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ของชินระได้ทำการทดลองใช้เซลล์ของเจโนวา
สิ่งมีชีวิตที่พวกเขาขุดพบจากชั้นหินอายุสองพันปีและคิดว่าเป็นเผ่าโบราณในการทดลองต่างๆ
ภายหลังศจ.กัสต์พบว่าเจโนวาไม่ใช่ชาวเผ่าโบราณและสำนึกผิดกับสิ่งที่เขาทำ
จึงหนีออกจากชินระมาพร้อมอิฟาลน่า สาวเผ่าโบราณที่ถูกชินระนำตัวมาทดลอง
ทั้งสองหนีมาไกลถึงนอร์ธโพลดินแดนทางเหนือที่ปกคลุมด้วยหิมะตลอดทั้งปีและลงหลักปักฐานในหมู่บ้านไอซิเคิล
อิฟาลน่าได้เล่าเรื่องของเผ่าโบราณพวกเดียวกับเธอที่เรียกว่าเซทรา
เรื่องของเจโนวาหายนะที่ทำลายชาวเซทราแทบสูญสิ้นเผ่าพันธุ์
รวมทั้งเรื่องของเวพ่อนซึ่งทำหน้าที่ปกป้องดวงดาวให้กัสต์ฟัง
หลังจากนั้นไม่นานทั้งสองได้ร่วมกันให้กำเนิดลูกสาว ซึ่งอิฟาลน่าตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า
แอริธ
แต่ฝ่ายวิทยาศาสตร์กุมความลับของบริษัทไว้มากมาย
จึงเป็นไปไม่ได้ที่ชินระจะปล่อยให้พวกเขาหนีออกไปได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่
หลังแอริธลืมตาดูโลกได้เพียง 20 วัน โฮโจหนึ่งในตัวตั้งตัวตีที่จะขึ้นรั้งตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์แทนศจ.กัสต์ก็พาทหารชินระมาที่ไอซิเคิล
สังหารศจ.กัสต์ และพาตัวอิฟาลน่ากลับมายังมิดการ์พร้อมกับแอริธ
ในฐานะผู้ที่มีสายเลือดเซทราซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่าของชินระ
การทดลองของโฮโจดำเนินไปอย่างโหดเหี้ยมจนอิฟาลน่าทนไม่ไหว
หลังถูกทารุณอยู่ยาวนานถึงเจ็ดปีเธอได้พาแอริธหนีออกมาถึงชานชลาของสลัมมิดการ์และพบกับหญิงสาวที่ชื่อเอลไมร่าเข้า
เธอขอให้เอลไมร่าช่วยเลี้ยงดูแอริธพร้อมกับมอบมาทีเรียชิ้นหนึ่งมาก่อนหมดลมหายใจ
สามีของเอลไมร่าเข้าร่วมสงครามวูไทในฐานะทหารของชินระ เอลไมร่าไปรอที่สถานีรถไฟวันแล้ววันเล่า
แต่สามีของเธอก็ไม่ได้กลับมา เอลไมร่าเองก็ไม่มีลูก
จึงเต็มใจรับอุปการะแอริธเป็นลูกสาว แล้วแอริธก็ใช้นามสกุลเกนสโบรู
นามสกุลของเอลไมร่ามาตั้งแต่นั้น
ทั้งสองอาศัยอยู่ที่บ้านหลังงามของเอลไมร่าในสลัมเขต 5 แอริธเป็นเด็กช่างพูดและสามารถเข้ากับเอลไมร่าได้ในเวลาไม่นาน
แต่เอลไมร่าก็เริ่มรู้สึกว่าเด็กคนนี้มีพลังพิเศษบางอย่างที่ทำให้เธอไม่เหมือนคนอื่น
วันหนึ่งแอริธพูดกับเอลไมร่า "แม่จ๋า แม่อย่าร้องไห้นะ
คนรักของแม่ตายแล้ว วิญญาณของเขากลับมาหาแม่
แต่ตอนนี้เขาได้กลับคืนสู่ดวงดาวไปแล้ว" และไม่กี่วันต่อมาเอลไมร่าก็ได้รับจดหมายแจ้งว่าสามีของเธอเสียชีวิตไปแล้วจริงๆ
นี่เป็นพลังของชาวเซทราที่สามารถสื่อสารกับดวงดาวได้ แอริธเป็นชาวเซทราที่หลงเหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ทำให้เธอเป็นที่ต้องการตัวของชินระเป็นอย่างมาก
ชินระยังคงตามล่าตัวแอริธไม่ลดละ เติร์กเป็นทีมที่รับผิดชอบเรื่องการสืบข่าวตามหาตัวแอริธ
เส็งจากเติร์กพบตัวแอริธที่บ้านของเอลไมร่าแต่เขาก็ได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ
เนื่องจากเติร์กเคยลงมือหนักเกินไปตอนตามล่าตัวของอิฟาลน่าจนเป็นเหตุให้เธอต้องเสียชีวิต
อีกทั้งเส็งยังคิดว่าคนที่ทำงานสกปรกอย่างเขาไม่สมควรเข้าใกล้คนสูงค่าเช่นแอริธ
เขาจึงได้แต่รอให้เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่าโดยไม่ได้ลงมือทำอะไร
แอริธเข้าใจว่าเส็งคอยปกป้องเธอจากพวกคนใจร้าย
วันหนึ่งเธอมีโอกาสจึงพูดขอบคุณเขา "ขอบคุณที่ทำงานหนักมาตลอดนะคะ
คุณคอยปกป้องหนูใช่ไหมล่ะคะ?"
ตอนนั้นเส็งซื่อสัตย์กับความคิดตัวเองแล้วบอกกับแอริธว่าจริงๆแล้วเขามาจากบริษัทชินระและต้องการให้แอริธช่วยให้ความร่วมมือกับพวกเขา
แต่แอริธเกลียดชินระมาก
เธอพยายามปฏิเสธว่าเธอไม่ใช่เผ่าโบราณและไม่ได้มีพลังอะไรทั้งนั้น
แอริธต้องการใช้ชีวิตอย่างเด็กผู้หญิงปกติมาตลอด
เธอปิดบังเรื่องพลังพิเศษของตนเอง ซึ่งเอลไมร่าเองก็แกล้งทำเป็นไม่รู้และเลี้ยงดูเธออย่างคนปกติเรื่อยมา
เส็งไม่ต้องการบังคับเธอจึงรามือไปแต่โดยดีและหวังว่าสักวันเธอคงเต็มใจเข้ามาร่วมมือกับชินระเอง
แอริธพบดอกไม้ขึ้นในโบสถ์ของสลัมเขต
5
เธอจึงทำแปลงดอกไม้ในโบสถ์และที่หน้าบ้านโดยหวังว่าดอกไม้จะช่วยให้สลัมแห่งนี้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง
วันหนึ่งชายหนุ่มชื่อ แซ็ค แฟร์ ได้ตกจากเพลตด้านบนลงมายังแปลงดอกไม้แต่เขาแทบไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
แซ็ครู้สึกตัวด้วยเสียงเรียกของแอริธและรู้สึกขอบคุณที่เธอช่วยเขาไว้จึงขอตอบแทนด้วยการเดทกับเธอหนนึง
และได้เสนอให้แอริธนำดอกไม้ซึ่งเป็นของหายากในมิดการ์ไปขาย
แถมคิดสโลแกน "เติมดอกไม้ให้เต็มมิดการ์ เติมเงินให้เต็มกระเป๋า"
ให้เสร็จสรรพ
แอริธอาสาขอพาแซ็คไปส่งทางขึ้นเพลตด้านบน
ระหว่างทางมีมอนสเตอร์เข้ามาจู่โจมแต่แซ็คก็จัดการมันได้อย่างง่ายดาย
ทำให้แอริธรู้สึกว่าเมื่ออยู่ใกล้แซ็คแล้วเธอจะปลอดภัย
แม้จะเติบโตจากบ้านนอกแต่แซ็คไม่คุ้นกับบรรยากาศของสลัมซึ่งถูกเพลตด้านบนบังจนมองไม่เห็นท้องฟ้าและดูอึดอัด
แต่สำหรับแอริธที่อาศัยอยู่ใต้เพลตมาตั้งแต่จำความได้นั้น
เธอหวาดกลัวท้องฟ้า เพราะรู้สึกเหมือนมันจะดูดกลืนเธอเข้าไป แซ็คบอกว่าท้องฟ้ามันไม่ได้น่ากลัวเหมือนที่คิดหรอกนะ
และเขาอาสาว่าสักวันจะพาเธอไปเห็นท้องฟ้าจริงๆ
ที่ตลาดสลัม แซ็คซื้อโบว์สีชมพูให้แอริธเป็นของขวัญฉลอง
"ครบรอบหนึ่งวันที่พบกัน" แอริธชอบโบว์อันนี้มากและบอกกับเขาว่าจะผูกโบว์นี้ทุกวันตั้งแต่นี้ไป
เธอชวนเขาไปเที่ยวสวนสาธารณะในเขต 6
ซึ่งเป็นที่โปรดของเธอรองจากโบสถ์เพราะมันมีเด็กๆทำให้สลัมนี้ดูสดใส
และนี่ยังเป็นการตอบรับเดทหนึ่งครั้งที่แซ็คเสนอมาด้วย
ระหว่างที่คุยกันที่สวนสาธารณะแอริธรู้ว่าแซ็คเป็นโซลเยอร์เฟิร์สคลาสของชินระ
ทำให้ทัศนคติของเธอเปลี่ยนไปจากเดิมที่เคยกลัวพวกโซลเยอร์ที่ความสามารถผิดมนุษย์และชื่นชอบการต่อสู้
เธอชอบดวงตาสวยงามของแซ็คที่แม้สีจะเหมือนกับท้องฟ้าแต่มันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว...
ภารกิจของชินระในฐานะโซลเยอร์นั้นหนักหนาสาหัสมาก
แต่แซ็คก็สัญญาว่าจะมาหาแอริธบ่อยๆ วันหนึ่งแซ็คได้ทำรถเข็นให้แอริธใส่ดอกไม้ตระเวนขายตามที่เขาเคยเสนอไว้
แต่รถเข็นออกมาไม่ค่อยถูกใจแอริธเท่าไหร่ แถมแอริธยังมี
ความปรารถนาเล็กๆ ที่เธออยากให้แซ็คช่วยอีก 23 เรื่อง แซ็คจำไม่ไหวเลยขอให้แอริธช่วยลิสต์ความปรารถนาเล็กๆที่ว่าไว้ในกระดาษที
เธอได้เขียนสิ่งที่เธอปรารถนาอย่างที่สุดเพียงหนึ่งเดียว
ซึ่งก็คือการได้อยู่กับแซ็คนานกว่านี้
ทั้งสองเข็นรถใส่ดอกไม้เต็มคันมายังสวนสาธารณะแม้จะไม่ค่อยมีลูกค้าแต่แอริธก็สนุกกับช่วงเวลาที่ได้อยู่กับแซ็คมาก
ทางด้านแซ็คเองรู้ว่าอีกไม่นานเขาจะต้องจากมิดการ์ไปเพื่อทำภารกิจสำคัญจึงฝากให้เส็งช่วยดูแลแอริธแทนเขา
ซึ่งเส็งก็รับปาก แอริธได้ขอให้แซ็คสัญญาว่าหลังจบภารกิจแล้วเขาจะกลับมาพาเธอออกขายดอกไม้ในโลกภายนอก
และดอกไม้เองก็คงชอบที่จะอยู่ใต้ท้องฟ้าสวยมากกว่าในสลัมแบบนี้
"พอเธอกลับมาจากภารกิจแล้ว เรามาขายดอกไม้ใต้ท้องฟ้าโปร่งด้วยกันนะ
ถ้ามีเธออยู่ด้วยฉันไม่กลัวหรอก"
"ได้สิฉันสัญญา เราจะไปด้วยกัน"
"ขอบใจนะแซ็ค"
นอกจากชินระแล้ว อวาลันช์กลุ่มต่อต้านชินระเองก็ต้องการตัวแอริธเพื่อป้องกันไม่ให้ชินระใช้พลังของเธอตามหาดินแดนแห่งพันธสัญญา
ตอนนั้นเป็นช่วงที่แซ็คติดภารกิจอยู่ แอริธต้องการหนีจากการตามล่าตัวของชินระจึงออกจากบ้านของเอลไมร่าที่อยู่ในความดูแลของเส็งมาจนพบพวกอวาลันช์เข้า
แต่เติร์กที่ผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีก็เข้ามาช่วยปกป้องแอริธ ผู้นำอวาลันช์ทั้งเอลเฟ่
เชียร์ และฟุฮิโตะ อยู่กันพร้อมหน้า ทำให้เติร์กต้องรับศึกหนัก แต่แอริธพยายามห้ามไม่ให้ทุกคนสู้กันเพราะมันจะทำให้แปลงดอกไม้ของเธอพัง
(ช่างกล้า!) แถมอาการเอลเฟ่วันนี้ยังไม่ค่อยดี ทำให้พวกอวาลันช์ยอมถอยไปก่อน
เมื่อฟังเติร์กเล่าเรื่องของเมืองต่างๆแล้วแอริธยิ่งรู้สึกอยากไปเห็นโลกภายนอกมากขึ้นไปอีก
แต่เธอก็รู้ว่าจะหนีไปตอนนี้ไม่ได้
เพราะถ้าหนีไปก็เท่ากับเธอปล่อยให้พวกนั้นชนะ
แถมยังไม่มีใครคอยดูแลพวกดอกไม้ และที่สำคัญเธอไม่อยากให้เอลไมร่าต้องเป็นห่วง
แอริธจึงตัดสินใจอยู่ที่สลัมเขต 5 ต่อไป
และเส็งเองก็พยายามปกปิดที่อยู่ของเธออย่างสุดความสามารถโดยที่ยังเชื่อว่าเมื่อแอริธช่วยให้ชินระตามหาดินแดนแห่งพันธสัญญาสำเร็จเมื่อไหร่
เมื่อนั้นโลกจะพ้นหายนะและกลายเป็นสถานที่ๆน่าอยู่มากขึ้น แต่ส่วนตัวแอริธเองก็ยังไม่ชอบใจเส็งและพวกเติร์กที่เข้ามายุ่มย่ามกับชีวิตของเธอนัก
แอริธยังคงส่งจดหมายไปหาแซ็คอยู่ตลอด แต่เขาก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
เธอเฝ้ารอวันแล้ววันเล่าจนเวลาล่วงเลยไปถึงสี่ปี
รวมจดหมายที่เธอส่งไปได้ 88 ฉบับ ตอนนั้นเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับแซ็คและจดหมายทั้งหมดไม่สามารถส่งให้กับแซ็คได้แต่เส็งก็เก็บไว้เป็นอย่างดี
แท้จริงแล้วแซ็คบาดเจ็บสาหัสในเหตุการณ์หายนะที่เมืองนีเบิ้ลไฮม์และถูกนำตัวไปทดลอง
เขาหนีออกมาพร้อมคลาวด์ สไตรฟ์ เพื่อนร่วมชะตากรรม ในตอนนั้น แม้ว่าเติร์กจะได้รับคำสั่งให้ตามล่าตัวผู้หลบหนี
แต่เส็งก็สั่งให้พวกเติร์กแกล้งปล่อยตัวแซ็คไป
แอริธตัดสินใจส่งจดหมายฉบับสุดท้ายมาหาแซ็คโดยผูกกับขาของมอนสเตอร์ที่อยู่ในโบสถ์สลัมมา
หลังแซ็คได้รับจดหมายเขาตั้งใจกลับมายังมิดการ์เพื่อกลับมาหาเธอตามที่สัญญาไว้
แต่ชินระก็ส่งกองทหารนับพันมากำจัดแซ็คเสียก่อน โดยที่เติร์กก็ช่วยเขาไว้ไม่ทัน
แอริธสังหรณ์อะไรบางอย่าง เธอรู้ว่าแซ็คคงไม่ได้กลับมาอีกแล้ว
แต่เธอก็ยังคงสวมชุดสีชมพูเฝ้ารอการกลับมาของเขาตามที่เคยตกลงกันไว้
แม้ว่ารถเข็นที่แซ็คทำให้จะพังไปแล้ว
แต่เธอก็ยังนำดอกไม้ใส่ตะกร้าออกตระเวนขายดอกไม้ในมิดการ์ต่อไป
วันหนึ่งขณะดูแลดอกไม้อยู่ที่โบสถ์ ชายชื่อคลาวด์ สไตรฟ์ ได้ตกจากเพลตด้านบนลงมายังแปลงดอกไม้
เธอเคยพบกับคลาวด์หนนึงตอนออกไปขายดอกไม้บริเวณมิดการ์ ซึ่งแอริธก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศของคลาวด์มีอะไรบางอย่างคล้ายๆกับแซ็ค
ทั้งดวงตาสีฟ้าเรืองแสง ถือดาบใหญ่ เป็นโซลเยอร์ บุคลิก ท่าทางคล้ายกัน
แล้วยังตกลงมาจากหลังคาเหมือนกันอีก พอดีเติร์กเรโนได้นำคนเข้ามาตามตัวแอริธ
เธอจึงขอให้คลาวด์เป็นบอดี้การ์ดช่วยพาเธอหนีพวกชินระกลับบ้าน
โดยแลกกับการเดทหนึ่งครั้ง ซึ่งคลาวด์ก็ตกลง
เขาพาเธอหนีออกทางหลังคากลับมายังบ้านได้อย่างปลอดภัย ขณะคลาวด์กำลังจะกลับไปยังที่ซ่อนตัวของอวาลันช์ซึ่งเป็นกลุ่มที่เขาสังกัดอยู่ในเขต
7 แอริธก็เสนอขอไปส่งคลาวด์ ระหว่างทางพวกเขาพบทีฟา ล็อคฮาร์ท
เพื่อนของคลาวด์ และร่วมกันเดินทางกลับมาก็พบว่าเติร์กได้เข้าโจมตีเขต
7 ตามคำสั่งชินระเพื่อกวาดล้างอวาลันช์ ทีฟาขอให้แอริธช่วยพาตัวมาร์ลีนไปยังที่ปลอดภัย
ซึ่งเธอก็ได้ช่วยพามาร์ลีนไปฝากไว้กับเอลไมร่า
แต่ตัวเองต้องถูกเส็งจับตัวไป
ตอนนี้เหตุการณ์มันไปไกลเกินกว่าที่เส็งจะควบคุมได้แล้ว
เขาจำต้องสวมวิญญาณปีศาจบังคับแอริธจนแม้แต่ลูกน้องของเขายังพากันเมิน
แต่เขาก็พยายามบอกกับลูกน้องและตัวเองว่า "นี่ไม่ใช่การเล่นบทปีศาจร้าย
สำหรับแอริธแล้วชินระนั่นหละคือปีศาจ เพราะงั้นปีศาจก็ต้องทำตัวแบบปีศาจสิ"
แอริธถูกจับตัวมายังสำนักงานใหญ่ชินระและถูกทดลองโดยโฮโจเจ้าเก่า
แต่เนื่องจากเป็นเซทราเลือดผสม แอริธจึงให้ผลการทดสอบด้อยกว่าอิฟาลน่า
และโฮโจคาดการณ์ว่ากว่าการทดลองจะสำเร็จอาจต้องใช้เวลาถึง 120 ปี
ซึ่งแอริธก็คงแก่ตายไปเสียก่อน
นักวิทยาศาสตร์วิปลาสผู้นี้จึงตั้งใจจะผสมพันธุ์เผ่าโบราณกับสิ่งมีชีวิตจากคอสโมแคนยอนที่เขาตั้งชื่อให้ว่าเร้ด
13 เพื่อสืบเผ่าพันธุ์เซทราต่อไป เคราะห์ดีที่พวกคลาวด์มาช่วยไว้ได้เสียก่อน
แล้วสถานการณ์ก็พลิกกลับเมื่อเซฟิรอธ อดีตโซลเยอร์ผู้เป็นตำนานได้กลับมาสังหารคนเกือบหมดสำนักงานชินระรวมทั้งตัวของประธานเอง
เป็นผลให้แอริธและพรรคพวกอวาลันช์หนีจากเงื้อมมือชินระได้สำเร็จไปด้วย
แต่คลาวด์ก็ต้องการตามล่าเซฟิรอธต่อ
เพราะมันเป็นคนที่เผาทำลายบ้านเกิดของเขาเมื่อ 5 ปีก่อน
แอริธตัดสินใจเดินทางไปกับคลาวด์โดยให้เหตุผลว่ามีเรื่องที่เธอต้องรู้ให้ได้
ส่วนเอลไมร่าพามาร์ลีนย้ายมาอยู่ที่เมืองคาล์มเพื่อความปลอดภัย แล้วอวาลันช์ยุคใหม่ที่นำโดยคลาวด์ก็ออกเดินทางมาเรื่อยๆ
การได้ออกมายังโลกภายนอกเป็นสิ่งที่แอริธใฝ่ฝันไว้มานาน แซ็คไม่สามารถพาเธอออกมาได้
แต่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนคนอื่นๆที่จะช่วยสานต่อความฝันนั้นได้ แอริธได้เห็นและเรียนรู้เรื่องราวของโลกภายนอกมากมาย
เธอเห็นไฮวินด์ที่สนามบินจูน่อน และอยากให้คลาวด์ช่วยพาเธอขึ้นเรือเหาะลำนั้นบินไปยังฟากฟ้า
ขณะเดินทางผ่านกองกาก้า เธอได้พบกับพ่อแม่ของแซ็ค ซึ่งยังคงรอคอยแซ็คกลับมาบ้านอยู่
และที่คอสโมแคนย่อนเธอก็ได้รู้ความจริงที่ว่าตัวเธอนั้นเป็นเผ่าโบราณที่เหลืออยู่เป็นคนสุดท้ายในโลกแล้ว
อวาลันช์มีสมาชิกเข้าร่วมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนที่ทีมจะออกเดินทางสู้ศึกสำคัญที่วิหารเผ่าโบราณ
พวกเขาได้มาพักผ่อนที่โกลด์ซอเซอร์ คืนนั้นแอริธได้ชวนคลาวด์ออกเดทตามที่เคยสัญญาไว้
เธอบอกกับคลาวด์ว่าในทีแรกนั้นเธอรู้สึกได้ถึงตัวตนหนึ่งในตัวคลาวด์
เธอตามคลาวด์มาเพราะคิดว่ามันจะทำให้ได้พบกับ เขา อีกครั้ง
แต่ภายหลังก็รู้ว่าตัวตนจริงๆของคลาวด์นั้นไม่ใช่
และเธอกำลังค้นหาตัวตนของคลาวด์อยู่ เธออยากพบตัวคลาวด์ที่แท้จริง
แต่ตอนนั้นพลุก็ดันดังขึ้นมาขัดจังหวะสิ่งที่แอริธต้องการจะบอกกับคลาวด์พอดี...
วันต่อมา พวกเขามาถึงวิหารเผ่าโบราณก็ได้พบเส็งที่ล่วงหน้ามาก่อนถูกเซฟิรอธเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส
เขาแกล้งบ่นกับตัวเองให้แอริธได้ยินว่าการปล่อยให้แอริธรอดมือชินระมาจนถึงตอนนี้ทำให้เขาต้องประสบชะตากรรมแบบนี้
แอริธยังคงยืนยันว่าจะไม่ยอมร่วมมือกับชินระเด็ดขาดเพราะสิ่งที่พวกชินระทำมันผิด
แต่ลึกๆแล้วเธอก็เสียใจที่เส็งที่รู้จักกับตัวเองมาค่อนชีวิตกำลังจะตายโดยที่เธอไม่สามารถช่วยอะไรได้
"เส็งเป็นเติร์ก ....ศัตรูของเรา แต่ฉันรู้จักกับเขามาตั้งแต่ยังเล็ก
มีเพียงไม่กี่คนที่ฉันกล้าพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริง
....และเขาก็เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฉัน....."
ในการเผชิญหน้ากับเซฟิรอธที่วิหารเผ่าโบราณ
พวกเขาพบว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของเซฟิรอธคือการเรียกเมเทโอลงมาปะทะให้ดวงดาวเกิดบาดแผลขนาดมหึมา
กุญแจสำคัญที่ใช้ในการเรียกเมเทโอมาคือแบล็คมาทีเรียที่พวกคลาวด์ได้มาจากการไขปริศนาของวิหารเผ่าโบราณ
และคลาวด์ก็ถูกเซฟิรอธควบคุมให้ส่งแบล็คมาทีเรียให้เขาทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก
แอริธรับความรู้ความทรงจำของชาวเซทราจากภายในวิหารเผ่าโบราณทำให้เธอรู้วิธีรับมือเมเทโอ
และเป็นหน้าที่ที่มีเพียงเผ่าโบราณคนสุดท้ายเช่นเธอเท่านั้นที่สามารถทำได้
สิ่งที่จะต้านทานสุดยอดมนต์ดำอย่างเมเทโอได้ก็คือสุดยอดมนต์ขาว "โฮลี่"
ซึ่งสามารถเรียกมาได้ด้วยการส่งจิตอธิษฐานถึงดวงดาวผ่านไวท์มาทีเรีย
ซึ่งไวท์มาทีเรียก็คือมาทีเรียที่อิลฟาลน่ามอบให้เป็นของดูต่างหน้า
และแอริธเก็บไว้ในโบว์มัดผมสีชมพูตลอดเวลา
และสถานที่ที่จะส่งจิตอธิษฐานได้ก็คือแท่นบูชาในนครสาบสูญทางตอนเหนือ
อันเป็นถิ่นที่อยู่เก่าของชาวเซทรา
แอริธไม่ทิ้งโอกาสนั้นให้หลุดลอยไป
เธอรีบออกเดินทางไปยังตอนเหนือโดยลำพัง แต่สิ่งที่แอริธยังเป็นห่วงอยู่คือคลาวด์ที่กำลังจะสูญเสียตัวตนไป
เธอบอกกับคลาวด์ในความฝันว่าเธอจะจัดการเซฟิรอธเอง ขอให้คลาวด์ดูแลตัวเองให้ดีและอย่าเพิ่งแตกสลายไปเสียก่อน
"ฉันไปก่อนนะ เมื่อทุกอย่างจบลงแล้วฉันจะกลับมา"
แต่แอริธไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เซฟิรอธรู้ว่าแอริธกำลังจะขัดขวางการเรียกเมเทโอ
จึงสังหารเธอต่อหน้าคลาวด์และพรรคพวกที่ตามมา ไวท์มาทีเรียกระเด็นตกจากแท่นบูชาจมลงน้ำ
แล้วความหวังของมนุษยชาติก็แทบจะดับสูญไปพร้อมๆกับชีวิตของเธอ
คลาวด์ทอดร่างของแอริธลงบนผืนน้ำในทะเลสาบกลางนครสาบสูญ
แอริธหลับใหลไปชั่วนิรันดร์แล้ว แต่พวกคลาวด์ก็ต้องสู้ด้วยความหวังอันน้อยนิดที่ยังหลงเหลืออยู่ต่อไป
หลังผ่านเหตุการณ์อีกมากมาย ในที่สุดพวกคลาวด์ก็ค้นพบว่าไวท์มาทีเรียที่ตกลงไปนั้นส่องแสงอยู่
นั่นแสดงว่าดวงดาวได้ตอบรับคำอธิษฐานของแอริธที่จะเรียกโฮลี่มาแล้ว แต่เซฟิรอธได้ขัดขวางโฮลี่อยู่ที่แกนกลางของดวงดาว
เป้าหมายการต่อสู้สุดท้ายของพวกเขาจึงเป็นการกำจัดเซฟิรอธเพื่อปลดปล่อยโฮลี่
แม้แอริธจะไม่ได้อยู่กับพวกเขาอีกต่อไปแล้ว
แต่เธอก็ได้มอบความหวังไว้ให้โดยแลกกับชีวิตและอนาคตที่เคยวาดฝันไว้
และอวาลันช์ตั้งใจว่าพวกเขาจะไม่ทำให้มันต้องสูญเปล่าเด็ดขาด
"....แอริธ เธอยิ้มให้จนวาระสุดท้าย
เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้รอยยิ้มนั้นสูญเปล่า เราไปด้วยกันเถอะ
ความทรงจำของแอริธ...
เธอควรจะได้กลับคืนสู่ดวงดาวแต่มีบางอย่างหยุดเธอไว้
เราจะต้องช่วยกันปลดปล่อยความทรงจำของแอริธ"
ด้วยความตั้งใจนี้ทำให้พวกเขาต่อสู้อย่างเต็มที่ในศึกสุดท้าย
และสามารถเอาชนะเซฟิรอธได้ในที่สุด พรรคพวกของแอริธบนโลกเบื้องบนได้ทำหน้าที่ในส่วนของตนลุล่วงแล้ว
โฮลี่ได้พุ่งขึ้นมาปะทะกับเมเทโอ
แต่เมเทโอเข้าใกล้ดวงดาวมากเกินไปพลังของโฮลี่จึงไม่เพียงพอ
ดวงดาวจึงได้นำไลฟ์สตรีมออกมาช่วยโฮลี่ต้านทานเมเทโอไว้
แล้วพวกเขาก็สามารถปกป้องดวงดาวได้สำเร็จ
ทุกคนรู้สึกถึงตัวตนของแอริธท่ามกลางกระแสไลฟ์สตรีมที่พวยพุ่งขึ้นนี้
เธอได้ยิ้มให้ทุกคนอีกครั้งก่อนหลับไหลในไลฟ์สตรีม
แม้จะจบชีวิตในโลกเบื้องบนไปแล้วแต่แอริธยังไม่สามารถหลับอย่างสงบได้เสียทีเดียว
ด้วยความสามารถของเผ่าโบราณทำให้แอริธสามารถคงความมีตัวตนอยู่ได้ภายในไลฟ์สตรีมอันเป็นแหล่งรวมพลังงานชีวิตของดวงดาวนั้น
แอริธรู้ว่าหน้าที่ของเธอยังไม่จบ หลังจากสิ้นสุดการต่อสู้ที่พวกคลาวด์สามารถเอาชนะและส่งเซฟิรอธลงมายังไลฟ์สตรีมได้นั้น
เซฟิรอธได้ทอดทิ้งความทรงจำบางส่วนเหลือเพียงแก่นความทรงจำที่ขึ้นไปโจมตีผู้คนบนดวงดาวและทิ้งรอยปาน
(สติ๊กม่า) ไว้ ผู้คนที่เสียชีวิตด้วยสติ๊กม่าจะถูกความชิงชังที่มีต่อดวงดาวโอบล้อมจนไม่สามารถกลับไปรวมกับไลฟ์สตรีมได้
แอริธพยายามช่วยปลดปล่อยดวงวิญญาณเหล่านั้นออกจากเปลือกแห่งความเกลียดชังจนพวกเขาสามารถกลับคืนสู่ดวงดาวได้
แอริธออกเดินทางในไลฟ์สตรีมและได้พบทั้งเหล่าเซทราที่ยังไม่กลับคืนสู่ดวงดาวที่มาช่วยเธอปลดปล่อยดวงวิญญาณและเหล่าผู้คนที่เธอเคยรู้จักซึ่งแอริธก็รวมความทรงจำของพวกเขาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับตนเองและขอให้พวกเขาช่วยด้วย
แต่จำนวนวิญญาณแห่งความเกลียดชังก็ยังเพิ่มขึ้นจนเกินกว่าที่พวกเธอจะรับมือไหว
แอริธคิดว่าวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการหยุดยั้งความเกลียดชังบนโลกเบื้องบน
และเธอก็ต้องการให้คลาวด์ช่วยเธอด้วย
ในไลฟ์สตรีมนี้ แอริธได้พบกับเซฟิรอธและถูกไล่ล่าจนต้องหนีมา
แต่อย่างน้อยเธอก็รู้แผนการของเซฟิรอธที่ส่งร่างแยกของตัวเองขึ้นไปทำหน้าที่บนโลกเบื้องบน
แอริธคิดว่าเธอน่าจะทำแบบนั้นบ้าง แต่ไม่นานเธอก็เปลี่ยนใจ
"ถึงจะทำแบบนั้นได้
แต่ฉันอยากพบคลาวด์ในแบบที่เขาจดจำฉันได้มากกว่า"
แอริธได้พบกับคลาวด์บนโลกเบื้องบนหลายครั้งในภาพที่เหมือนกับความฝัน
ตอนนี้คลาวด์มีรอยสติ๊กม่าขึ้นเนื่องจากอิทธิพลของเซฟิรอธ
และยังแบกรับความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถปกป้องคนอื่นได้ โดยเฉพาะแอริธ
แต่แอริธนั้นไม่เคยกล่าวโทษคลาวด์เลย เธอบอกให้คลาวด์ยกโทษให้ตนเอง
จนกระทั่งคลาวด์ลองกลับมาสู้ดูอีกครั้ง
เขาเข้าต่อสู้กับร่างแยกทั้งสามที่เซฟิรอธส่งขึ้นมาร่วมกับเพื่อนอวาลันช์คนอื่นๆและสามารถเอาชนะได้
ในขณะที่แอริธได้ส่งจิตอธิษฐานถึงดวงดาวเกิดเป็นสายฝนที่มีพลังแบบเดียวกับที่แอริธและเผ่าโบราณคนอื่นๆใช้ปลดปล่อยดวงวิญญาณในไลฟ์สตรีมนั้น
สายฝนดังกล่าวได้ชำระล้างสติ๊กม่าบนดวงดาวไปได้ส่วนหนึ่ง
แซ็คก็เป็นหนึ่งในผู้คนที่แอริธได้พบอีกครั้งในไลฟ์สตรีมนี้
หลังการต่อสู้กับร่างแยกของเซฟิรอธครั้งนี้คลาวด์บาดเจ็บสาหัสและวิญญาณหลุดเข้ามาในไลฟ์สตรีม
เขาได้พบกับแอริธและแซ็คอีกครั้งแต่ทั้งสองได้บอกว่ายังไม่ถึงเวลาที่คลาวด์ควรมาที่นี่และส่งคลาวด์กลับขึ้นมา
การต่อสู้จบลงไปอีกครั้ง แอริธและแซ็คมาส่งคลาวด์ที่รายล้อมไปด้วยผู้คนมากมายที่แอริธเรียกมา
แล้วทั้งสองที่คอยเฝ้าดูแลคลาวด์มาตลอดก็เดินจากไปด้วยรอยยิ้ม...
Conceptual Design & Early
Materials
-
อาชีพของแอริธที่กำหนดตอนแรกคือ
Geomancer
-
คลาวด์ แอริธ และแบเร็ต
เป็นสามตัวละครแรกที่ถูกสร้างขึ้น
ที่จุดหนึ่งในเนื้อเรื่องนั้นทีมงานต้องการให้มีฝ่ายตัวเอกเสียชีวิต
หลังจากพิจารณาแล้วว่าตัวเอกอย่างคลาวด์คงไปฆ่าทิ้งไม่ได้
และการตายของแบเร็ตคงไม่กระชากใจคนเล่นเท่าไหร่
สุดท้ายหวยจึงมาตกกับแอริธ
-
คุณคิตาเสะบอกว่าฉากการตายของตัวละครสำคัญใน
FF ภาคเก่าๆ เช่น Galuf
ใน FFV
มักให้ความรู้สึกว่าได้ตายหลังทำหน้าที่สำคัญเสร็จสิ้นไปแล้วและยอมรับความตายแต่โดยดี
แต่เขาต้องการให้การตายของแอริธเป็นมากกว่านั้น
มันต้องทำให้รู้สึกถึงความสูญเสียอย่างรุนแรงจนพวกตัวเอกที่ไม่ทันได้เตรียมใจกันมาแทบจะหมดแรงสู้ไปตามๆกัน
มากกว่าคิดว่า "โอ้ ตายหนนี้คุ้มจริงๆ"
-
คุณโนมุระเล่าลงใน
10th
Ultimania
ว่าขณะพิจารณาตัวบททีมงานมีความเห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบระหว่างสองนางเอกแล้ว
แอริธมีบทน้อยกว่าทีฟามากและไม่ค่อยโดดเด่น
จึงเพิ่มฉากปรากฏตัวของเธอให้มากขึ้นไปอีก คุณโนจิม่าเสริมว่าสำหรับแรงบันดาลใจในการสร้างนางเอกทั้งสองนั้นทีฟาจะเปรียบเหมือนกับเพื่อนวัยเด็กที่อยู่กับคุณตั้งแต่อนุบาล
ในขณะที่แอริธเหมือนสาวที่ย้ายเข้ามากลางเทอมและไม่นานก็ย้ายออกไปเรียนที่อื่น
ในเมื่อนักเรียนคนนี้มีฉากปรากฏตัวไม่มากก็ควรจะทำให้เธอมีอิมแพ็คมากๆหน่อย
-
ในบทตอนแรกจะมีตอนที่ทีฟาคุยกับแอริธและเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นที่นีเบิ้ลไฮม์
เธอจะบอกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับแซ็คให้แอริธรู้ด้วย
-
ในตอนแรกที่ยังไม่ได้สร้างตัวละครแซ็คขึ้นมานั้น
ตัวบทกำหนดให้คนรักแรกของแอริธคือเซฟิรอธ (เฮือก!)
ซึ่งเธอเริ่มชอบเขาเพราะเขามาซื้อดอกไม้ของเธอบ่อยๆ (เฮ้ย!)
และแอริธติดตามคลาวด์มาเพราะจิตวิญญาณของเซฟิรอธที่อยู่ในร่างคลาวด์
(ตามที่รู้กันว่าตัวบททีแรกนั้นไม่มีพล็อทเกี่ยวกับรียูเนี่ยน
แต่ให้จิตของเซฟิรอธเข้ามาสถิตในร่างคลาวด์ตอนที่เขาสู้แพ้คลาวด์เมื่อ
5 ปีก่อน) ระหว่างการเดินทางนั้นพวกคลาวด์จะค่อยๆค้นพบความจริงที่ว่าคนที่แอริธหลงรักนั้นคือคนเดียวกับเซฟิรอธที่พวกเขาตามล่าอยู่
คลาวด์จึงต้องพยายามปกปิดไม่ให้แอริธรู้ว่าคนรักของเธอนั้นจริงๆแล้วชั้วชั่ว
และอีกไอเดียหนึ่งได้วางให้แอริธเป็นน้องสาวของเซฟิรอธด้วย
(เหวออออ!!)
-
ในตอนแรกกำหนดให้โซลเยอร์ถูกสร้างขึ้นจากการฉีดเซลล์ของอิฟาลน่าแม่ของแอริธ
ไม่ใช่เจโนวา
-
คุณโนจิม่าเล่าว่าใน
Advent Children
ความสำนึกผิดในอดีตของคลาวด์เรื่องการตายของแอริธ
ก็ต้องได้รับการอภัยจากแอริธจึงจะแก้ปัญหาได้
เขาพยายามใส่บรรยากาศให้รู้สึกว่าแอริธยังคงอยู่ข้างๆคลาวด์เสมอ แอริธมีอิมเมจเกี่ยวกับน้ำ
หลายครั้งทีมงานจึงใช้น้ำสื่อแทนตัวตนของแอริธด้วย
-
CG
ของแอริธใน Advent Children
มีส่วนที่ยากคือทรงผมที่จะต้องปรับสมดุลแสงเงาไม่ให้ดูเหมือนวิกห่วยๆ
และทีมงานตั้งใจให้โชว์หน้าของแอริธเฉพาะในตอนจบด้วย
ทั้งชุดและสีหน้าจะต้องคงลักษณะเดิมใน FFVII
ให้มากที่สุด
-
ใน
Advent Children Complete โครงหน้าของแอริธถูกปรับไปจากของเดิมใน
Advent Children
ด้วย
(ซ้าย) แอริธใน
Advent Children (ขวา) Aerith ใน
Advent Children Complete
Trivia
จากหนังสือ FF7 Famitsu
Kaitai Shinsho ระบุว่าชื่อ Aerith
มาจาก Earth
-
ในคู่มือภาคภาษาอังกฤษได้เขียนวันเกิดแอริธผิดจาก 7
ก.พ. เป็น
19
ก.พ.
-
ประโยคที่แอริธคุยกับคลาวด์เรื่องคนป่วยในสลัมเขต 5
"This guy are sick."
ยังเป็นประโยคผิดไวยากรณ์อันฮือฮาประจำเกมนี้อีกด้วย
-
ในภาค
Crisis Core หลังจากแซ็คทำรถเข็นคันแรกออกมาไม่สวยคนเลยไม่ค่อยมาซื้อดอกไม้
แซ็คจะแก้ตัวสร้างรถเข็นใหม่ให้ ในเกมแซ็คสามารถรวบรวมอุปกรณ์สร้างเป็นรถเข็นหุ้มเกราะและรถเข็นลายดอกไม้ออกมา
ทั้งแอริธและลูกค้าชื่นชอบรถเข็นลายดอกไม้มาก ส่วนตัวแซ็คกลับถูกใจเจ้ารถเข็นหุ้มเกราะเป็นพิเศษ
แถมมีนักวิจัยมาขอซื้อไปพัฒนาเป็นอาวุธด้วยนะ ปัจจุบันรถเข็นที่แซ็คทำให้พังไปแล้ว
แอริธจึงรอให้แซ็คกลับมาซ่อมให้เธอ (คันเซลเคยอาสาจะซ่อมให้ แต่แอริธไม่อนุญาต)
-
ก่อนเข้าสู้กับไดมอนด์เวพ่อนที่มุ่งเข้ามิดการ์ ซิดจะเล่าว่าเขานึกถึงตอนที่จรวดของชินระตกลงไปในสลัม
โชคดีที่ตอนนั้นมันไม่ระเบิด
จรวดของชินระที่ว่านั้นก็ยังคงปักหัวโด่อยู่หลังโบสถ์ให้แอริธใช้เป็นสไลเดอร์นี่เอง
-
แอริธเป็นลูกผสมระหว่างเซทรา (อิฟาลน่า) และมนุษย์
(กัสต์) ทำให้ความสามารถในฐานะเผ่าโบราณของแอริธด้อยกว่าอิฟาลน่าซึ่งเป็นเซทราเลือดแท้
และอิฟาลน่ายังเป็นเซทราเลือดแท้คนสุดท้ายที่เสียชีวิตไปด้วย
-
ชื่อในภาคภาษาญี่ปุ่นของแม่บุญธรรมแอริธคือ เอลมิน่า
(エルミナ)
แต่ในภาคภาษาอังกฤษได้เปลี่ยนเป็นเอลไมร่า
(Elmyra)
-
ใน
Before Crisis แอริธได้พบกับเอลเฟ่อดีตผู้นำของอวาลันช์
เธอจะสัมผัสถึงเสียงบางอย่างในตัวเอลเฟ่ได้ มันเป็นเสียงของซิลโคเนียด
สัตว์อสูรที่จะเผาผลาญดวงดาวให้พินาศ ฟุฮิโตะกลัวว่าความลับเรื่องที่เอลเฟ่มีพลังของสัตว์อสูรอยู่จะแตกจึงต้องพยายามเปลี่ยนเรื่องคุย
สำหรับปฏิบัติการล่าแอริธของอวาลันช์ในภาค
Before Crisis นี้ ถูกเรียกว่า
"Operation Laura"
-
การสังหารแอริธเป็นเหตุการณ์สะเทือนวงการเกมอย่างรุนแรง
นอกจากกระแสต่างๆทั้งข่าวลือการชุบชีวิต และการสปอยล์ฉากสำคัญกันอุตลุดแล้ว
ทางทีมงานยังได้รับเสียงก่นด่าสาปแช่งจากแฟนหัวรุนแรงบางส่วนด้วย
เรียกได้ว่าอิมแพ็คแรงสมใจทีมงานจริงๆ
-
แอริธยังเป็นที่กล่าวขวัญในความเป็นสุดยอดผู้พิทักษ์ดอกไม้
ทั้งเรโนในภาคหลัก, แซ็คใน
CC,
รวมทั้งเติร์กและอวาลันช์ใน BC
หลังเหยียบดอกไม้เข้าก็โดนตวาดจนจ๋อยสนิทกันถ้วนหน้า
-
ใน
Advent Children ตามบทแล้วสมาชิกอวาลันช์ทุกคนจะไม่มีใครพูดถึงแอริธ
ทีมงานเลยให้พวกเขาผูกริบบิ้นสีชมพูเพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขายังไม่ลืมแอริธ
เพื่อนร่วมทีมของพวกเขาที่เสียชีวิตในการต่อสู้เพื่อปกป้องดวงดาวครั้งนั้น
แม้แต่มาร์ลีนก็ผูกริบบิ้นแถมยังทำผมทรงเดียวกับแอริธด้วย
-
ในเกมภาคหลัก เมื่อได้กุญแจเข้ามิดการ์มาแล้วกลับมาที่โบสถ์จะพบวิญญาณของแอริธปรากฏขึ้นกลางแปลงดอกไม้
แต่พอเข้าไปใกล้ก็จะหายไป เด็กที่อยู่แถวนั้นจะถามขึ้นว่า
"พี่สาวขายดอกไม้ไปไหนแล้วล่ะ?"
แต่ที่จริงใน disc 1 หลังแอริธถูกเส็งจับตัวไป
ถ้ากลับมาที่โบสถ์ก็เจอบั๊กวิญญาณแอริธเหมือนกันนะ
(ขนาดยังไม่ตายนะนี่ - -")
-
Aeriths Theme เพลงประจำตัวของแอริธถูกเลือกเป็น
1 ใน 3 เพลงจาก FFVII ที่นำไปบรรเลงออเคสตร้าใน
FFVII: Reunion Tracks
และเพลงนี้ยังได้รับเลือกให้นำมาใส่เนื้อร้องลงใน Suteki da
ne single - side B
ชื่อเพลง Pure Heart
-
แอริธและคลาวด์ปรากฏตัวใน
PS3 technical demo ปี 2005 ที่
SQEX ทำฉากเปิด FFVII
ขึ้นใหม่เพื่อโชว์ความสามารถ PS3
ด้วย
แอริธจาก PS3 technical demo ปี 2005
<กลับไปหน้าหลัก> |