|
Nanaki (Red XIII)
ナナキ (レッドXIII)
เพศ : ชาย
วันเกิด : ไม่ทราบ
อายุ : 48 ปีในภาคหลัก (เทียบเท่า
15-16 ปีของมนุษย์)
กรุ๊ปเลือด : ไม่ทราบ
สถานที่เกิด : Cosmo Canyon
ส่วนสูง : ไม่ทราบ
อาวุธ :
เครื่องประดับศีรษะ
|
นานากิเป็นสิ่งมีชีวิตสี่ขาทรงภูมิปัญญาที่อาศัยอยู่ในคอสโมแคนย่อน
เผ่าพันธุ์ของเขามีอายุยืนยาวและมีความสามารถในการต่อสู้สูง
พวกเขาจะต้องผ่านพิธีสักการะดวงดาวเพื่อแต่งตั้งตัวผู้ที่เข้มแข็งที่สุดดำรงตำแหน่งการ์เดี้ยนผู้ทำหน้าที่ปกปักษ์คุ้มครองคอสโมแคนย่อน
และสืบทอดตำแหน่งการ์เดี้ยนทุกๆ 50 ปี
ช่วงที่นานากิอายุยังน้อยนั้นเกิดสงครามขึ้นระหว่างชาวคอสโมแคนย่อนและเผ่ากิผู้รุกรานจากตอนใต้
ชาวเมืองและพรรคพวกของนานากิได้เข้ารับมือข้าศึกอย่างเข้มแข็ง
จนกระทั่งพวกกิค้นพบทางลับที่ภูเขาด้านหลังที่จะใช้เจาะเข้าตีเมืองได้
เซโตะพ่อของนานากิในฐานะการ์เดี้ยนในช่วงเวลานั้นได้ตัดสินใจเข้าไปต้านทานการบุกของพวกกิโดยลำพังและสามารถไล่พวกมันจนถอยกลับไปได้สำเร็จ
เมืองกลับสู่ความสงบแต่เซโตะก็ถูกศรอาบยาพิษของพวกกิจนกลายเป็นหินไป
แม่ของนานากิขอร้องไม่ให้คนอื่นบอกเรื่องนี้กับนานากิก่อนที่เธอจะสิ้นใจในเวลาต่อมา
เขาจึงเข้าใจมาตลอดว่าเซโตะหนีไประหว่างการต่อสู้ทิ้งให้แม่ต้องตายทำให้เขารู้สึกละอายในตัวพ่อตนเอง
หลังสงครามสิ้นสุดลง นานากิก็ถูกเลี้ยงดูโดยท่านผู้เฒ่าบูเก้นฮาเก้น
ผู้อาวุโสแห่งเผ่าบูก้าที่ศึกษาเรื่องดวงดาวมานับศตวรรษ บูเก้นฮาเก้นสอนนานากิหลายอย่าง
ทั้งวัฏจักรชีวิตของดวงดาวและการดำรงชีวิต แม้จะอยู่มานานกว่า 40 ปี
เรียนรู้หลายสิ่งจนฉลาดเฉลียวและพยายามทำตัวเป็นผู้ใหญ่
แต่เมื่อเทียบกับช่วงอายุที่ยาวนานของเขาแล้ว
นานากิก็ยังเป็นเหมือนเด็กโดยเฉพาะต่อหน้า
"ปู่"
บูเก้นฮาเก้นที่เขานับถือ
ปัจจุบันเผ่าพันธุ์ของนานากิมีจำนวนน้อยลงจนใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว
ฝ่ายวิทยาศาสตร์ของชินระต้องการตัวพวกเขาเพื่อใช้ในงานวิจัยบางอย่างจึงออกคำสั่งให้เติร์กเดินทางไปคอสโมแคนย่อนเพื่อจับตัวพวกนานากิมา
ในช่วงนั้นคอสโมแคนย่อนได้จัดพิธีกรรมสักการะดวงดาว
เป็นงานประจำเมืองทุกๆ
50
ปีซึ่งต้องมีเผ่าพันธุ์ของนานากิเข้าร่วมพิธีด้วย
โดยตัวผู้จะถูกแต่งตั้งเป็นการ์เดี้ยนผู้คุ้มครองคอสโมแคนย่อน
ในขณะที่ตัวเมียจะต้องปลีกตัวจากผู้คนเพื่ออธิษฐานต่อดวงดาวเป็นเวลาสามปี
ดีนเน่เผ่าพันธุ์เดียวกับนานากิผู้เหลือรอดอีกคนหนึ่งกำลังเฝ้ารอเทศกาลที่กำลังจะมาถึงอย่างใจจดใจจ่อ
ในขณะที่นานากิกลับไม่อยากร่วมพิธีด้วยสาเหตุบางอย่าง และตอนที่ดีนเน่กำลังจะถูกเติร์กจับตัวไว้เขาก็เปิดเผยความรู้สึกของตัวเองออกมา
สาเหตุที่เขาไม่ยอมเข้าร่วมพิธีเพราะกลัวว่าจะต้องเสียดีนเน่ไป
แต่ถ้าดีนเน่ถูกเติร์กจับตัวไปทุกอย่างก็คงไร้ความหมาย
นานากิจึงอาสาเข้าสู้กับเติร์กเพื่อให้ดีนเน่หนีไป แม้จะแพ้และถูกเติร์กจับกุมแต่เขาก็ช่วยดีนเน่ได้ตามที่ตั้งใจ
แถมเติร์กใจดียังเห็นว่านานากิต้องการเข้าร่วมพิธีกรรมที่มีเพียงหนึ่งครั้งในรอบ
50 ปีจึงได้ให้โอกาสเขาเข้าร่วมพิธีกรรมก่อนจะพาตัวนานากิมาที่มิดการ์
โฮโจใช้นานากิเป็นสัตว์ทดลองและให้ชื่อว่าเร้ด 13
(เนื่องจากตัวนานากิมีสีแดงเพลิง) พร้อมสักเลข
XIII
บนไหล่ซ้ายของเขาเพื่อใช้เป็นหมายเลขอ้างอิง ทุกคนได้เรียกเขาว่าเร้ด
13 ทั้งที่ชื่อนี้มันไม่มีความหมายอะไรกับเขาสักนิด
เขาถูกทดลองอย่างโหดเหี้ยมตามมาตรฐานโฮโจจนกระทั่งสูญเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง
นานากิพยายามไม่แสดงความฉลาดออกมาเพื่อไม่ให้ชินระได้ข้อมูลอะไรจากเขาไป
วันหนึ่งโฮโจต้องการทดลองผสมพันธุ์เขากับแอริธ เกนสโบรู
สาวเผ่าโบราณที่จับมาได้ เคราะห์ดีที่คลาวด์ สไตรฟ์ และพรรคพวกอวาลันช์เข้ามาช่วยแอริธไว้ได้ทัน
ในเวลาเดียวกันนั้นเซฟิรอธ สุดยอดโซลเยอร์ของชินระได้เข้าโจมตีตึกชินระและเข่นฆ่าพนักงานชินระไปมากมาย
พวกเขาจึงอาศัยจังหวะชุลมุนหนีออกมาได้สำเร็จ
คลาวด์ตัดสินใจออกเดินทางต่อเพื่อตามล่าเซฟิรอธซึ่งเป็นศัตรูคู่แค้นกับเขามาหลายปี
ในขณะที่นานากิต้องการเดินทางกลับคอสโมแคนย่อน
จึงได้ขอเดินทางติดตามมาด้วย พวกเขาเดินทางมาทางตะวันตกจนมาถึงคอสโมแคนย่อนบ้านเกิดของนานากิ
เขากลับมาหาปู่บูเก้นฮาเก้น และบูเก้นฮาเก้นก็ได้แสดงภาพในแพลเนทาเรียมให้พวกคลาวด์เห็นเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นหากดวงดาวถูกสูบไลฟ์สตรีมออกไปจนหมดด้วย
ในคืนนั้น ขณะเพื่อนๆกำลังพักผ่อนหน้าคอสโมแคนเดิลกองไฟที่ไม่มีวันดับนั้น
นานากิได้ตัดพ้อถึงเซโตะพ่อผู้ขี้ขลาดของเขาให้เพื่อนๆฟัง บูเก้นฮาเก้นได้ยินดังนั้นก็เห็นว่าสมควรแก่เวลาที่นานากิจะรู้ความจริงแล้ว
จึงชวนนานากิพร้อมพรรคพวกออกไปที่ถ้ำด้านหลังเมือง
ที่นั่นนานากิได้พบกับเซโตะที่กลายเป็นหินยืนตระหง่านอยู่บนหน้าผา
และนี่เป็นตำแหน่งที่พวกกิบุกตีเข้ามาในสงครามเมื่อตอนนั้น
พ่อของเขาไม่ใช่คนขี้ขลาด เขาต่อสู้เพื่อปกป้องคอสโมแคนย่อนจนกระทั่งตัวเองกลายเป็นหิน
แต่ก็ยังคงยืนหยัดอยู่อย่างนั้น
เมื่อได้รู้ความจริงนี้แล้วนานากิทั้งรู้สึกผิดและขณะเดียวกันก็รู้สึกภาคภูมิใจในสายเลือดของตนเอง
เขาคือลูกชายของเซโตะผู้กล้าหาญ พ่อของเขายืนหยัดเพื่อปกป้องคอสโมแคนย่อนจนวาระสุดท้าย
และตัวเขาเองก็จะสานต่อเจตนารมณ์นั้นต่อสู้อย่างกล้าหาญเพื่อปกป้องสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน
ตอนนี้นานากิเลิกคิดที่จะล้างอายพ่อและเลิกทำตัวเป็นผู้ใหญ่เกินวัยแล้ว
บูเก้นฮาเก้นบอกว่านานากิเคยไปถึงสถานที่ยิ่งใหญ่อย่างมิดการ์และออกเดินทางมาครึ่งโลกแล้ว
การมาหมกตัวปกป้องคอสโมแคนย่อนสำหรับเขาตอนนี้อาจขัดขวางการเติบโตของเขา
และการทำลายเตาปฏิกรณ์ก็แค่ชะลอหายนะที่จะเกิดขึ้นกับดวงดาวเท่านั้น
พวกเขาสามารถช่วยดวงดาวได้มากกว่านั้น
นานากิตัดสินใจแล้วว่าเขาจะออกเดินทางร่วมกับพวกอวาลันช์ต่อไป
สิ่งที่เขาจะปกป้องนั้นไม่ใช่เพียงคอสโมแคนย่อน
หากแต่เป็นดาวทั้งดวงนี้ ในตอนที่เขาตั้งปณิธานนี้
Seraph
Comb
เครื่องประดับศีรษะอาวุธของเซโตะก็ร่วงลงมาจากหน้าผาตกลงเบื้องหน้านานากิ
ราวกับเป็นมรดกของพ่อให้ต่อสู้แทนตัวเขาต่อไป
หลังจากนั้นนานากิก็ได้ประโยคสำคัญที่ใช้เริ่มต้นคำประกาศศึกทุกครั้งของเขา
"ข้าคือนานากิแห่งคอสโมแคนย่อน
ลูกชายของเซโตะนักรบผู้กล้าหาญ"
อวาลันช์มาจนถึงปลายทางแห่งการต่อสู้
พวกเขาจะต้องลงไปต่อสู้ตัดสินกับเซฟิรอธในเครเตอร์ตอนเหนือ คลาวด์ได้บอกให้เพื่อนๆแยกย้ายไปทำความเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของการต่อสู้เสียก่อน
เพราะเขารู้ดีว่าหลายๆคนในอวาลันช์เข้าร่วมการเดินทางด้วยเหตุผลฉาบฉวยบางอย่างและมันอาจทำให้พวกเขาต้องสูญเสียช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตไป
นานากิได้เดินทางกลับไปคอสโมแคนย่อนอีกครั้งตามที่บูเก้นฮาเก้นได้ขอร้องไว้และพบว่าบูเก้นฮาเก้นกำลังป่วยหนัก
เขาต้องการให้ปู่สั่งสอนอีกหลายสิ่งหลายอย่าง แต่บูเก้นฮาเก้นต้องการให้นานากิออกไปเรียนรู้โลกภายนอกผ่านสายตาของตนเองมากกว่า
การเรียนรู้ครั้งนี้จำเป็นต่อลูกหลานของเขาในอนาคตข้างหน้า
และปู่ยังบอกว่าเขาอาจได้พบคู่ครองที่ไม่คาดว่าจะได้พบอีกด้วย บูเก้นฮาเก้นมอบ
Limited Moon อาวุธที่เคยเป็นของเซโตะเช่นเดียวกับ
Seraph Comb ให้นานากิ
แล้วสิ้นอายุขัยด้วยวัย 130 ปี จากนั้นนานากิก็ได้กลับมาหาเพื่อนๆอวาลันช์โดยบอกกับพวกเขาว่าปู่ได้ออกเดินทางอีกครั้ง...
อวาลันช์สามารถกำจัดเซฟิรอธและปกป้องดวงดาวได้สำเร็จ
หลังการต่อสู้จบสิ้นลง นานากิได้เดินทางกลับมายังคอสโมแคนย่อนพบกับชาวเมืองที่รอต้อนรับเขาอย่างวีรบุรุษ
เขาออกไปเล่าเรื่องการเดินทางให้เซโตะบนหน้าผาฟังและบอกว่าเขาต้องการเดินทางเพื่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาตนเอง
จดจำ และเล่าต่อให้ลูกหลานรวมทั้งพ่อของเขาฟัง
แล้ว การเดินทางเพื่อบันทึกเรื่องราวโลก
ก็เริ่มต้นขึ้น
ทุกคนในคอสโมแคนย่อนสนับสนุนการเดินทางครั้งนี้และออกมาส่งเขาหน้าเมือง
แต่หลังออกเดินทางมาได้สักพักนานากิก็สัมผัสถึงความหวาดกลัวบางอย่างที่อยู่ในใจเขา
มันทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวจนแทบก้าวขาไม่ออก
แต่ตอนนี้เขายังไม่รู้ว่ามันคืออะไร
นานากิเดินทางไปพร้อมกับต่อสู้ข่มความหวาดกลัวนั้นมาตลอดทาง
เขาค่อยๆเดินทางไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน
เพราะเขามีเวลาอยู่บนโลกนี้นานกว่าคนอื่นมากนัก เขาแวะมาหายุฟฟี่ คิซารากิ
เพื่อนร่วมทีมอวาลันช์ของเขาที่วูไทก็พบว่าเธอกำลังวุ่นกับการรักษาผู้คนที่ติดโรคระบาดที่เรียกว่าจีโอสติ๊กม่า
เขาคิดว่าจะลองไปหาข้อมูลจีโอสติ๊กม่าจากคลาวด์และทีฟาที่อยู่แถวๆมิดการ์จึงได้เดินทางมาทางตะวันออก
เมื่อเห็นผู้คนบาดเจ็บล้มตายแล้วเขาก็รู้ดีว่าสักวันทั้งยุฟฟี่
พวกผู้คนที่คอสโมแคนย่อน และคนอื่นๆก็คงจากโลกนี้ไปก่อนเขา
นานากิคิดว่าตัวจริงของความกลัวที่ก่อขึ้นในใจก็คือ
"ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียคนสำคัญ"
นี้เอง
นานากิเดินทางผ่านป่าบริเวณนีเบิ้ลไฮม์และได้พบลูกหมีนีเบิ้ลสองตัวที่แม่มันถูกนายพรานฆ่าตาย
เขารับเลี้ยงดูลูกหมีสองตัวนั้นจนเติบใหญ่และอาศัยอยู่ในโลกแห่งสรรพสัตว์มานานหลายเดือน
นานากิตั้งชื่อลูกหมีทั้งสองว่าปาซูและริน
พวกเขามีชีวิตอยู่ด้วยการล่าและการต่อสู้ที่ยุติธรรม
ไม่มีการแบ่งแยกมนุษย์และสัตว์ป่า
เมื่อต้องสู้กันผู้พ่ายแพ้จะต้องถูกตัดสินตามกฎของป่า
แต่ถึงจะคิดแบบนั้นเขาก็ทำผิดสัญญาต่อตัวเอง
ตอนที่เด็กลูกมนุษย์ตามพ่อของเขามาล่าหมีและพลาดท่าให้กับปาซู
นานากิกระโจนเข้าช่วยเด็กลูกมนุษย์จนถูกปาซูเล่นงานบาดเจ็บ
หลังพวกผู้ใหญ่เข้ามาช่วยเด็กออกจากป่าไปแล้ว
นานากิได้พยุงตัวกลับมาที่พักในป่าขณะที่ปาซูและรินเข้ามาช่วยเลียแผลพร้อมขอโทษเขา
ตอนนี้หางของหมีนีเบิ้ลเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับผลิตยาต่อต้านโรคจีโอสติ๊กม่า
ทำให้พรานล่าสัตว์นอกจากจะนำเนื้อไปกินแล้วยังสามารถนำหางไปขายให้เติร์กได้ในราคาสูงด้วย
นานากิรู้สึกตัวขึ้นกลางดึกก็พบว่าปาซูและรินถูกมนุษย์ฆ่าตายไปแล้ว
ทีแรกเขาคิดว่ามนุษย์และหมีนีเบิ้ลก็เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
ใครจะโดนใครฆ่าก็ไม่น่าแปลก แต่หนนี้เขากลับข่มความรู้สึกตัวเองไม่ลง
เขาโกรธแค้นพวกมนุษย์!
นานากิกระโจนเข้าบ้านคนที่กำลังดื่มฉลองหลังล่าหมีได้
เตรียมขย้ำมนุษย์ทุกคนรวมทั้งเด็กคนที่เขาเคยช่วยไว้ด้วย แต่วินเซนต์
วาเลนไทน์ หนึ่งในอดีตเพื่อนร่วมทีมอวาลันช์ของเขาก็ผ่านมาพบเข้าพอดีและยิงใส่นานากิ
ก่อนวินเซนต์จะแปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาดเพื่อไล่มนุษย์ทุกคนออกไป
นานากิเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้วินเซนต์ฟัง ขณะที่วินเซนต์ก็บอกว่าเขาตามเอเลน่าเติร์กสาวของชินระเข้ามา
จนหลังจากได้หางของหมีนีเบิ้ลไปแล้วเธอก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ออกไป
แล้วก็เจอะเข้ากับนานากิที่ดูดุร้ายผิดจากเดิมไปมาก
วินเซนต์บอกว่านานากิไม่ควรใส่ใจกับการตัดสินของมนุษย์หรือสัตว์ป่ามากนัก
บางทีการปล่อยวางอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดและครั้งหนึ่งตัวเขาเองก็เคยทำแบบนั้น
หลังแยกจากวินเซนต์ไปแล้วนานากิก็ใช้คืนสุดท้ายกลับมานอนที่ๆเคยอยู่กับปาซูและริน
และรุ่งขึ้นเขาก็ลาจากโลกแห่งสัตว์ป่าไป
นานากิมาถึงเมืองจรวดที่อยู่ของซิด ไฮวินด์ หนึ่งในอวาลันช์ผู้เป็นสุดยอดนักบินของโลก
ตอนนี้ซิดสร้างเรือเหาะลำใหม่เสร็จแล้ว
เขาให้นานากิได้เป็นผู้ทดสอบบินรอบแรก หลังได้มองโลกจากบนฟ้า
นานากิก็รู้ว่าโลกใบนี้ไม่ได้ใหญ่เกินไปนัก
และการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เขาตั้งใจนั้นใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
"โลกนี้กำลังคอยฉันอยู่"
นานากิมาพบยุฟฟี่เข้าอีกครั้ง
เขารู้สึกผิดที่เขาเสียเวลาไปมากมายโดยไม่ได้ช่วยเธอตามหาวิธีรักษาจีโอสติ๊กม่าเลย
เขาจึงยอมเดินทางไปกับยุฟฟี่จนถึงทวีปตอนเหนือแต่ก็ไม่พบอะไร
ถึงจะล้มเหลวมาตลอดแต่ความตั้งใจในการช่วยเหลือผู้คนก็ทำให้ยุฟฟี่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
และตัวนานากิเองก็ได้ผ่านการต่อสู้มามากมายระหว่างเดินทางบันทึกโลก
บาดแผลเต็มตัวทำให้เขาดูต่างจากลูกแมวเร้ด 13 ขนปุยที่ยุฟฟี่ชอบลูบหัวเล่นเมื่อสมัยก่อน
แต่ทั้งสองก็เข้าใจว่าเมื่อชีวิตดำเนินไปทุกคนก็ต้องเติบโตขึ้น
ระหว่างการเดินทางบันทึกโลกนานากิพยายามเรียนรู้ทุกสิ่งจากทั้งมนุษย์และสัตว์ป่า
ไม่นานความหวาดกลัวตัวเดิมก็ย้อนกลับมาหาเขาอีกครั้ง นานากิได้พบกับวินเซนต์อีกครั้งที่นครสาบสูญ
ซึ่งตัววินเซนต์เองรู้ดีว่าสิ่งที่นานากิหวาดกลัวนั้นคืออะไร
แล้วความหวาดกลัวที่ว่าก็ฉายภาพอนาคตอันแสนไกลให้นานากิได้เห็น
เขาเห็นภาพตัวเองวิ่งขึ้นไปบนเนินมองลงมายังมิดการ์ที่ถูกปกคลุมด้วยพืชที่เขาไม่รู้จักมาก่อนด้วยซ้ำ
พวกมนุษย์เองก็อยู่ท่ามกลางธรรมชาตินั้น แต่ไม่มีคนที่เขารู้จักเลย
เขาไม่รู้จะคุยกับใครและรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวที่เกาะกุมหัวใจ
ในที่สุดเขาก็เข้าใจตัวจริงของความหวาดกลัวนี้
มันไม่ใช่แค่ความหวาดกลัวต่อการสูญเสียอย่างที่เขาเคยเข้าใจ
แต่มันคือความหวาดกลัวต่อการอยู่ตัวคนเดียว
ด้วยอายุที่ยืนยาวนี้ทำให้เขาต้องประสบกับมันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
เพราะแม้เพื่อนรักของเขาจะเสียชีวิตไปหมดแล้วตัวเขาก็ยังคงต้องอยู่ดูโลกใบนี้ต่อไป
วินเซนต์เองก็มีร่างกายเป็นอมตะและต้องประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน
วินเซนต์จึงเสนอให้มาพบกันที่มิดการ์ปีละครั้งนับจากนี้ไป
และเขาจะเป็นคนคอยฟังเรื่องราวที่นานากิเรียนรู้มาเอง
การเรียนรู้โลกและบอกเล่าเรื่องราวไปยังผู้คนต่างๆได้ดำเนินต่อเนื่องไปอีกนานแสนนาน
นานากิได้พบกับดีนเน่อีกครั้ง
และอีกหลายร้อยปีต่อมาทายาทของพวกเขาก็กำเนิดขึ้นเพื่อจะเฝ้ามองดูโลกใบนี้ต่อไป
แม้เหล่าผู้คนที่เขารู้จักจะเสียชีวิตไปหมดและโลกได้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆจนไม่เหมือนโลกที่เขาเคยเห็นในวัยเด็กแล้วก็ตาม
แต่อย่างน้อยเขาก็มีคนที่จะอยู่เคียงข้างเขาต่อจากนี้ไปไม่ว่าจะอีกกี่สิบกี่ร้อยปี
สายตานานากิจับจ้องมองมายังโลกที่เขาเฝ้าดูมาห้าร้อยปี
ตอนนี้เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวความโดดเดี่ยวนั้นอีกต่อไปแล้ว...
Conceptual Design & Early
Materials
-
อาชีพของนานากิที่ถูกกำหนดไว้ทีแรกคือ
Beast
และไม่มีอาวุธ (ภายหลังให้เป็นเครื่องประดับศีรษะ)
-
นานากิเป็นตัวละครที่
4
ที่ถูกสร้างขึ้นต่อจากคลาวด์ แอริธ และแบเร็ต
เริ่มด้วยไอเดียที่คุณโนมุระต้องการให้มีตัวละคร 4
ขาในกลุ่มตัวเอกด้วย
-
รอยป้ายบนแก้มของนานากิเป็นสัญลักษณ์นักรบประจำเผ่า
ซึ่งทีมงานตั้งใจทำให้ดูเป็นอินเดียนแดงเข้ากับชื่อนานากิด้วย
ส่วนรอยสักเลข
XIII
โฮโจเป็นคนเขียนไว้สำหรับการทดลอง
-
ในตอนแรกกำหนดมาว่าเผ่าของนานากิได้คอยคุ้มครองเผ่าบูก้าของบูเก้นฮาเก้นมานับ
100 ปีแล้ว และนานากิเข้าใจว่าเซโตะหนีจากการต่อสู้ไป
จึงโกรธแค้นพ่อตัวเองมาตลอด โฮโจได้จับตัวนานากิมาเพื่อสร้างเขาเป็นโซลเยอร์สัตว์ป่า
แต่ผลการทดลองก็ล้มเหลว
-
เร้ด
XIII
เป็นชื่อแรกที่คุณโนมุระตั้งให้ตัวละครนี้
โดยตั้งใจให้มันฟังดูไม่เหมือนชื่อ และใส่เลข 13 ที่เป็น
unlucky number ให้ด้วย
ภายหลังทีมงานได้คิดชื่อนานากิให้เป็นชื่อจริงของเขา
-
ในตัวบทตอนแรก ระหว่างที่ถูกชินระจับตัวและให้ชื่อเร้ด
XIII นั้น โฮโจจะสร้างโคลนของเขาที่มีชื่อว่า
โคบอลท์ XIV (สีฟ้า) และ อินดิโก้
XV (สีม่วง) ขณะไล่ตามโฮโจมา อวาลันช์จะต้องสู้กับพวกมันโดยมีเร้ด
XIII ตัวจริงปนอยู่ในนั้น
(อีกสองตัวจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
แถมต่างคนต่างก็บอกว่าตัวเองคือตัวจริง)
เราจะต้องแยกให้ออกและโจมตีให้ถูกด้วย หลังการต่อสู้เร้ด
XIII
จะขอให้ปล่อยสองคนนี้ไปเพราะเขานับเป็นพี่น้องร่วมเผ่าที่เหลือน้อยเต็มทนแล้ว
สองคนนี้จะปรากฏตัวอีกครั้งในดันเจี้ยนสุดท้าย
โดยถูกดัดแปลงครึ่งตัวและเข้ามาต่อสู้ตัดสินกับเร้ด XIII
เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เป็นแค่โคลน ...แต่ก็จะแพ้อีกที
-
ด้วยความที่มีขนปกคลุมทั้งตัวทำให้การทำแอนิเมชันของนานากิลำบากสุดๆ
ส่งผลให้เขาได้ปรากฏตัวน้อยกว่าเพื่อนทั้งใน
Advent Children และ Dirge of Cerberus
-
ใน
Advent Children
นานากิผูกริบบิ้นสีชมพูที่ขาหน้าซ้าย
Trivia
-
มอนสเตอร์ในถ้ำด้านหลังคอสโมแคนย่อนคือวิญญาณเผ่ากิที่ตายในสงคราม
-
เป็นที่น่าเสียดายที่เผ่าพันธุ์ของนานากิยังไม่มีชื่อเรียกจนถึงทุกวันนี้
ทุกคนเรียกพวกเขาว่าเผ่าพันธุ์ผู้ปกป้องดวงดาว ส่วนเผ่าพันธุ์ของบูเก้นฮาเก้นมีชื่อว่าเผ่าบูก้า
...ไม่รู้ว่าเผ่านี้ก็ใกล้สูญพันธุ์ด้วยรึเปล่า?
-
วิธีการคิดของนานากิจะแตกต่างจากมนุษย์
เขาใช้วิธีการสร้างภาพขึ้นภายในจิตใจและเก็บความทรงจำไว้เป็นกลุ่มก้อน
แถมตั้งชื่อให้ความทรงจำทั้งหลายอีกต่างหาก
โดยระหว่างการเดินทางบันทึกเรื่องราวโลก
เขาได้ตั้งชื่อความหวาดกลัวต่อความโดดเดี่ยวนี้ว่า
"กิลลิแกน"
-
มอนสเตอร์คือพืชและสัตว์ที่ได้รับมาโคปริมาณมากจนกลายพันธุ์ไป
มีทั้งมอนสเตอร์ที่เกิดจากการรับมาโคจากแหล่งธรรมชาติ
และมอนสเตอร์ที่เกิดจากการทดลองของชินระซึ่งส่วนใหญ่หลุดออกมาจากห้องทดลองในช่วงสงครามและแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติ
ใน
FFVII
ศัตรูประเภทสัตว์ที่เราต้องพบกลางทางนั้นมีทั้งมอนสเตอร์และสัตว์ป่า
บูเก้นฮาเก้นเคยเล่าให้นานากิฟังว่าสองอย่างนี้ต่างกันมาก
สัตว์ป่าจะล่าเพื่อกิน แต่มอนสเตอร์นั้นต้องการฆ่าเพียงอย่างเดียว
ใน Case of Nanaki
นานากิได้ใช้ชีวิตในฐานะสัตว์ป่าเป็นเวลาหลายเดือนและได้เรียนรู้วิถีชีวิตที่แตกต่างออกไปจากตอนที่อยู่กับมนุษย์ด้วย
-
ในซีรี่ยส์
Final Fantasy ทั้งหมด
นานากิเป็นพรรคพวกในกลุ่มตัวเอกเพียงคนเดียวที่ยืนสี่ขา
<กลับไปหน้าหลัก> |