|
Barret Wallace
バレット・ウォーレス
เพศ : ชาย
วันเกิด : 15
ธันวาคม [µ]-εγλ
1972
อายุ : 35 ปีในภาคหลัก
กรุ๊ปเลือด : O
สถานที่เกิด : Corel Town
ส่วนสูง : 197
เซนติเมตร
อาวุธ : แขนกล
|
เมืองโคเรลที่แบเร็ต วอลเลซเติบโตมาเป็นเมืองที่รายล้อมด้วยป่าเขียวขจีสุดลูกหูลูกตา
ภูเขาโคเรลที่ล้อมเมืองอยู่นั้นเป็นแหล่งถ่านหินขนาดใหญ่
อาชีพของชาวเมืองนี้ส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมถ่านหิน แบเร็ตมีเพื่อนสนิทที่บ้านอยู่ใกล้กันชื่อไดน์
แม้งานจะหนักแต่พวกเขาก็พอใจกับการใช้ชีวิตในเมืองเล็กสกปรกอันเงียบสงบและอบอุ่นนี้
ในคืนหนึ่งแบเร็ตดื่มเหล้าจนเมาและไปขอหญิงสาวชื่อมีน่าแต่งงาน ส่วนไดน์แต่งงานกับเอเลนอร์และมีลูกสาวน่ารักหนึ่งคนชื่อมาร์ลีน
หลังมีชีวิตครอบครัว แบเร็ตรู้สึกอยากให้มีน่ามีชีวิตที่ดีขึ้น
ประจวบกับช่วงนั้นทางบริษัทชินระได้เข้ามาเจรจาขอสร้างเตาปฏิกรณ์มาโคในเมือง
ฟังดูเหมือนเป็นทางเลือกที่วิเศษสุด
นอกจากชินระจะจ้างคนในเมืองให้ทำงานในเตาปฏิกรณ์แทนที่เหมืองถ่านหินหนักๆโทรมๆนั่นแล้ว
ชาวเมืองยังได้ยินชินระเป่าหูกันมามากว่าพลังงานมาโคนั้นสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแถมยังเอามาประยุกต์ใช้ได้สะดวกสบาย
ทำให้แบเร็ตเดินหน้าสนับสนุนเตามาโคเต็มที่
พวกชาวบ้านก็ล้วนเห็นด้วยในขณะที่ไดน์ยังคงคัดค้านที่จะทิ้งงานเหมืองอันเป็นวิถีชีวิตของชาวเมืองโคเรลมาช้านาน
แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เตาปฏิกรณ์ถูกสร้างขึ้นบนภูเขาโคเรลภายในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
สถานการณ์กลับผิดจากที่ทุกคนเคยคาดไว้
ระหว่างที่เตาปฏิกรณ์ยังสร้างไม่เสร็จ พวกอวาลันช์กลุ่มต่อต้านชินระที่นำโดยฟุฮิโตะได้บุกเข้ายึดเตาปฏิกรณ์รวมทั้งตั้งกำลังไว้ตามโพรงเชื่อมต่อภายในภูเขาต่อกับเหมืองที่แบเร็ตขุดไว้ด้วย
หลังรู้ว่ามีพวกต่อต้านชินระบุกเข้ามา แบเร็ตก็ได้ช่วยพาเติร์กขึ้นรถรางไปยังเตาปฏิกรณ์เพื่อจัดการกับอวาลันช์
แต่ปฏิบัติการก็ล้มเหลว และเตาเกิดระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง
ฝันร้ายของชาวโคเรลยังไม่จบเพียงเท่านี้
ชินระต้องการลบหลักฐานความขัดแย้งของบริษัทจึงใส่ความชาวเมืองโคเรลว่าก่อกบฏแล้วสการ์เล็ตก็นำกองทหารบุกเข้าทำลายเมืองจนพินาศ
ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ตอนนั้นแบเร็ตและไดน์ออกไปทำธุระนอกเมืองพอดี
พวกเขามองกลับมาเห็นเมืองตกอยู่กลางกองเพลิง
และครอบครัวของพวกเขาทั้งมีน่า, เอเลนอร์ และมาร์ลีนก็คงไม่รอดแน่ๆแล้ว
ทหารของสการ์เล็ตตามฆ่าชาวเมืองที่หนีออกมาจนมาถึงภูเขาโคเรลและเผชิญหน้ากับทั้งสองคน
ขณะหนีไดน์พลัดตกหน้าผาแต่แบเร็ตคว้าแขนเขาไว้ได้
ทหารชินระได้ระดมปืนกลยิงใส่แขนของทั้งสองคนจนไดน์ร่วงลงเหวไป
แบเร็ตสูญเสียทุกอย่างแทบสิ้น เขากลับมาที่ซากเมืองโคเรลที่ถูกชินระทิ้งระเบิดปูพรมจนไม่เหลือเค้าเดิม
เขาหวังว่าอย่างน้อยก็ขอพบครอบครัวของเขาและเพื่อนๆเป็นครั้งสุดท้าย
แต่มาร์ลีนเด็กน้อยอายุไม่ถึงขวบยังคงรอดชีวิตอยู่ในซากเมืองอย่างปาฏิหาริย์!
เขาตัดสินใจเลี้ยงดูมาร์ลีนแทนไดน์เพื่อนรักแล้วออกเดินทางจากบ้านเกิดเมืองนอนมา
แบเร็ตเดินทางมาพบซากากิช่างฝีมือและขอให้เขาช่วยทำแขนกลทดแทนแขนขวาที่เสียไปของเขา
ซึ่งทำออกมายังไงก็ไม่ถูกใจแบเร็ตซะที สุดท้ายซากากิจึงปรับปรุงแขนแบเร็ตให้สามารถเลือกติดตั้งแขนแบบไหนก็ได้ตามแต่เขาจะเลือก
ซึ่งส่วนใหญ่แบเร็ตก็เลือกติดแต่สารพัดอาวุธทั้งปืน ปืนกล สว่าน
ไปจนถึงเครื่องยิงลูกระเบิด
หลังเสียทั้งภรรยาและบ้านเกิดไปแล้วสิ่งเดียวที่อยู่ในใจเขาตอนนี้คือการล้างแค้นชินระ!
แบเร็ตพยายามพูดอยู่เสมอว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเพื่อปกป้องดวงดาว
เขาพยายามอธิบายให้คนอื่นฟังว่าเตาปฏิกรณ์ของชินระจะดูดเอาพลังชีวิตของดวงดาวออกมา
เขาจึงต่อต้านชินระเพื่อปกป้องดวงดาวของทุกๆคน และแบเร็ตก็พูดเรื่องนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้ตัวเองไม่สูญเสียเป้าหมายไป
เขาเห็นว่าตนเองมีเป้าหมาย
"ต่อสู้กับชินระเพื่อปกป้องดวงดาว"
เช่นเดียวกับกลุ่มอวาลันช์ที่ตอนนี้ถูกชินระกวาดล้างไปหมดแล้ว
จึงสืบทอดเจตนารมณ์ของอวาลันช์แล้วนำคำว่า อวาลันช์
มาตั้งเป็นชื่อกลุ่มต่อต้านชินระที่นำโดยตัวเขาเอง โดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอวาลันช์นั่นแหละเป็นต้นเหตุให้บ้านเกิดของเขากลายเป็นเถ้าถ่าน
นอกจากเจตนารมณ์ที่คล้ายกันแล้วกลุ่มของแบเร็ตไม่มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มอวาลันช์เก่าแต่อย่างใด
และด้วยกำลังคนเพียงน้อยนิดเขาก็ไม่สามารถทำอะไรชินระได้มากนอกจากคอยแจกใบปลิวปลุกระดมให้คนต่อต้านชินระ
เขารวบรวมคนจากที่ต่างๆทั้งคนที่เห็นด้วยกับการระงับการใช้พลังงานมาโคและคนที่มีความแค้นกับชินระเช่นเดียวกับเขา
ซึ่งทีฟา ล็อคฮาร์ท
สาวน้อยที่สูญเสียบ้านเกิดไปเพราะชินระก็เข้าร่วมด้วย อวาลันช์ได้ใช้เซเว่นเฮฟเว่น
บาร์ของทีฟาที่อยู่ในสลัมเขต 7 ของมิดการ์เป็นที่ซ่อนตัวและเตรียมการสำหรับปฏิบัติการต่างๆ
รายได้จากบาร์ถูกใช้เป็นเงินทุนให้อวาลันช์และค่าจ้างสมาชิกคนอื่นๆซึ่งประกอบด้วยบิ๊ก,
เวดจ์ และเจสซี่
ต่อมาทีฟาได้ชักชวนคลาวด์ สไตรฟ์
เพื่อนในวัยเด็กที่พบโดยบังเอิญเข้ามาร่วมด้วย แบเร็ตไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังคลาวด์มากนัก
แต่คลาวด์บอกว่าตนเองเป็นอดีตโซลเยอร์ของชินระ ซึ่งชื่อโซลเยอร์ก็การันตีฝีมือในการต่อสู้ได้เป็นอย่างดีและสามารถเป็นกำลังสำคัญให้อวาลันช์ได้
กลุ่มอวาลันช์เริ่มเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆจนพอที่จะลงมือปฏิบัติการรุนแรงระดับสะเทือนชินระได้
แบเร็ตรู้ตัวดีว่าตั้งแต่นี้ไปเขาคงไม่อาจหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว
"เราจะไม่ลงจากรถไฟขบวนนี้เด็ดขาด
จนกว่าจะถึงปลายทางนั่นแหละ!"
เป็นคำที่เขาบอกตัวเองและลูกทีมบ่อยๆ
มีความหมายว่าพวกเขาจะสู้ไปให้ถึงที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
และประโยคนี้ก็ช่วยผลักดันให้พวกเพื่อนๆของเขาร่วมทางฟันฝ่าอุปสรรคนับหมื่นแสนไปตลอดระยะเวลาการต่อสู้ที่ยาวนาน
เราต่อสู้ไปเพื่ออะไรกันแน่? |
อวาลันช์บุกเข้าไประเบิดเตาปฏิกรณ์ในเขต1 ได้สำเร็จ
ทำให้ข่าวการต่อต้านชินระกระจายไปอย่างรวดเร็ว มีทั้งคนสะใจ
คนที่กลัวไม่มีไฟฟ้าใช้ รวมถึงคนที่หวาดกลัวว่าชินระจะลงมาล้างแค้น
ผู้คนบางส่วนเสียชีวิตจากการระเบิดครั้งนั้น
แม้จะต้องเดินหน้าต่อต้านชินระต่อไปแต่เหตุการณ์ครั้งนั้นก็เป็นตราบาปฝังในใจแบเร็ตไม่น้อย
ไม่กี่วันต่อมาพวกเขาลงมือบุกเข้าเตาปฏิกรณ์ของเขต5
แต่หนนี้ประธานชินระไหวตัวทันและส่งทหารเหล็กเข้ามาเล่นงานอวาลันช์จนต้องล่าถอยกลับไป
ที่ซ่อนตัวในเขต7 ถูกสืบพบและประธานชินระได้ส่งเติร์กหน่วยปฏิบัติภารกิจลับลงมาทำลายเสาค้ำให้เขต7
ด้านบนถล่มลงมาทับสลัม
แม้จะเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุที่ทำให้ผู้คนที่ไม่รู้เรื่องทั้งด้านบนเพลตและชาวสลัมใต้เพลตต้องประสบเคราะห์ไปด้วย
แต่ประธานชินระต้องการแสดงให้เห็นแสนยานุภาพขององค์กร บิ๊ก เวดจ์ และเจสซี่เสียชีวิตในการต่อสู้ที่เสาค้ำเขต7
ส่วนมาร์ลีนได้แอริธ เกนสโบรู หญิงสาวที่คลาวด์พบโดยบังเอิญมาช่วยไว้และนำตัวไปฝากไว้กับเอลไมร่า
แม่เลี้ยงของเธอในสลัมเขต5 ก่อนจะย้ายไปอยู่ที่เมืองคาล์มทางตะวันออกของมิดการ์เพื่อหลบสายตาจากชินระ
ชินระออกข่าวโทษว่าอวาลันช์เป็นต้นเหตุให้เสาค้ำถล่มลงมาแล้วสร้างภาพทำเป็นส่งคนเข้าไปช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ
ทำให้อวาลันช์กลายเป็นผู้ร้ายในสายตาคนทั่วไปยิ่งขึ้นไปอีก
เหตุการณ์พลิกกลับเมื่อเซฟิรอธ โซลเยอร์ในตำนานที่หายสาบสูญไปกว่า
5 ปี
ได้กลับมาฆ่าคนแทบเกลี้ยงตึกสำนึกงานชินระรวมทั้งตัวประธานชินระเอง
เขาเป็นศัตรูที่คลาวด์ตามล่ามาตลอด อีกทั้งพวกเขาได้รู้ความจริงว่าแอริธคือเผ่าโบราณคนสุดท้ายที่ชินระต้องการใช้พลังของเธอในการตามหาดินแดนแห่งพันธสัญญาที่มีมาโคอยู่มหาศาล
แบเร็ตต้องการปกป้องดินแดนแห่งพันธสัญญาจากเงื้อมมือเซฟิรอธและชินระ
จึงสร้างทีมอวาลันช์ขึ้นมาใหม่ประกอบด้วยตัวเขา, ทีฟา, คลาวด์, แอริธ
รวมทั้งเร้ด13 สัตว์ทดลองที่พวกเขาช่วยออกมาจากแล็บของชินระด้วย
เพื่อนๆเลือกให้คลาวด์เป็นผู้นำกลุ่มอวาลันช์คนใหม่
แล้วทุกคนก็ออกจากมิดการ์มา
พวกเขาออกเดินทางตามเซฟิรอธมาเรื่อยจนกระทั่งมาถึงโคเรลเหนือ
ซึ่งผู้คนชาวโคเรลที่หนีออกมาได้สร้างขึ้นจากกองขยะและใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก
ทุกคนโทษว่าเป็นความผิดของแบเร็ตที่สนับสนุนให้ชินระสร้างเตาปฏิกรณ์เมื่อ
4 ปีก่อนจนเกิดเหตุสลดใจนั้น แบเร็ตยอมรับผิดแต่โดยดีแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะชดเชยให้ทุกคนได้อย่างไร
แล้วพวกเขาก็เข้ามาพัวพันกับเหตุการณ์ชายแขนปืนไล่ฆ่าคนในโกลด์ซอเซอร์
แบเร็ตนึกถึงไดน์ที่ถูกยิงจนแขนขาดเช่นเดียวกับเขาทั้งที่เคยคิดว่าเพื่อนรักของเขาตายไปแล้ว
ตอนนี้ไดน์อยู่ในเมืองโคเรลเก่าที่ชินระเปลี่ยนสภาพเป็นคุกสำหรับจองจำนักโทษขององค์กร
เขาบ้าคลั่งเหมือนสัตว์ป่า
มีแต่ความเคียดแค้นชิงชังโลกใบนี้และต้องการทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แบเร็ตบอกให้ไดน์รู้ว่ามาร์ลีนลูกสาวของเขายังมีชีวิตอยู่
แต่พอรู้แบบนั้นไดน์ที่บ้าไปแล้วกลับยิ่งบ้าคลั่งขึ้นไปอีก
"เอเลนอร์ต้องโดดเดี่ยวมานานมากแล้ว
ฉันจะพามาร์ลีนไปหาเธอ มาร์ลีนเองก็คงอยากเจอแม่นี่นะ?"
แบเร็ตต้องเข้าสู้กับไดน์อย่างไม่มีทางเลือกและสามารถเอาชนะได้
เขาพยายามบอกให้ไดน์กลับไปหามาร์ลีนแต่ไดน์ปฏิเสธ เขาคิดว่าตอนนั้นมาร์ลีนยังเด็กเกินกว่าที่จะจำพ่อแท้ๆได้ด้วยซ้ำ
และมือของเขาที่ฆ่าคนมามากก็แปดเปื้อนเกินกว่าจะโอบอุ้มมาร์ลีนลูกสาวสุดที่รัก
แล้วไดน์ก็ฝากสร้อยของเอเลนอร์ให้แบเร็ตนำไปให้มาร์ลีน
ก่อนกระโดดดิ่งลงหน้าผาจบชีวิตโสโครกของตัวเองลง
"ไดน์
ฉันก็เหมือนกับแกนั่นละ... มือของฉันก็แปดเปื้อนเกินกว่าจะโอบอุ้มมาร์ลีนเหมือนกัน"
แบเร็ตตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ทุกครั้งที่ต้องการบรรเทาความทุกข์ทรมานใจอันแสนสาหัสเขาจะตะโกนลั่นแล้วบางครั้งก็สาดปืนกลไปทั่วด้วย
เขาไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องทำแบบนี้ไปอีกกี่สิบกี่ร้อยครั้ง
แต่เพื่อไม่ให้การต่อสู้ที่ผ่านมาต้องสูญเปล่าเขาได้พยายามบอกกับตัวเองว่า
"จะไม่ยอมลงจากรถไฟขบวนนี้เด็ดขาด!"
การเดินทางครั้งนี้ทำให้แบเร็ตได้พบเรื่องต่างๆมากมาย
พวกเขาได้มายังคอสโมแคนย่อนเมืองที่ใช้เป็นที่ศึกษาเรื่องราวของดวงดาวและถือเป็นเมืองต้นกำเนิดของอวาลันช์ด้วย
เนื่องจากผู้ก่อตั้งอวาลันช์คนแรกมาศึกษาเรื่องดวงดาวที่นี่และเกิดความรู้สึกต้องการปกป้องดวงดาวขึ้นมาจึงรวบรวมผู้คนเพื่อต่อต้านชินระ
พวกเขาพบความจริงว่าเซฟิรอธจะใช้มหาเวทเมเทโอพุ่งชนดาวดวงนี้
ทีแรกนั้นแบเร็ตใช้สโลแกน
"ปกป้องดวงดาว"
บังหน้า
ใจจริงนั้นเขาต้องการล้างแค้นชินระที่ทำลายชีวิตของเขาต่างหาก
แต่ภายหลังเป้าหมายการต่อสู้ของเขาก็ชัดเจนขึ้นมา เหมือนกับที่คลาวด์บอกว่าพวกเราทุกคนต่างก็ต่อสู้เพื่อบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญกับตัวเอง
"ตอนนี้ฉันสู้เพื่อมาร์ลีน
เพื่ออนาคตของมาร์ลีน ฉันจะปกป้องดวงดาวเพื่อมาร์ลีน!"
ในตอนที่ชินระขนฮิวจ์มาทีเรียออกจากเตาปฏิกรณ์โคเรลนั้น
แบเร็ตได้ร่วมมือกับซิด ไฮวินด์ เพื่อนอวาลันช์คนใหม่เข้าหยุดยั้งรถไฟไม่ให้พุ่งชนโคเรลเหนือได้สำเร็จ
ชาวเมืองต่างพากันขอบคุณแบเร็ตที่ช่วยบ้านเมืองของพวกเขาไว้ได้ในครั้งนี้
แม้โคเรลเหนือจะเป็นแค่กองขยะแต่ตอนนี้มันเป็นบ้านสุดที่รักของพวกเขา
แม้จะอัตคัดแต่พวกเขาก็ต่างพยายามใช้ชีวิตอยู่อย่างเข้มแข็งโดยไม่หวั่นกับเรื่องที่เมเทโอกำลังจะพุ่งชนดวงดาวในเวลาอีกไม่ถึงเดือน
"ช่างหัวเมเทโอมันสิ
เราเป็นคนเหมืองนี่นะ
ขุดดินลงไปอยู่กันลึกๆมันก็ทำอะไรพวกเราไม่ได้แล้ว!"
อวาลันช์ภายใต้การนำของคลาวด์สามารถโค่นเซฟิรอธยับยั้งการตกของเมเทโอได้สำเร็จ
แต่ดวงดาวทั้งดวงได้เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากกระแสไลฟ์สตรีมที่พุ่งออกมาจากทั่วโลกเพื่อหยุดยั้งเมเทโอคราวนั้น
โดยเฉพาะมิดการ์ที่ได้รับผลกระทบจากเมเทโอไปเต็มๆ
แอริธเสียชีวิตในการต่อสู้ครั้งนี้ แบเร็ตกลับเมืองคาล์มเพื่อไปรับตัวมาร์ลีนที่ฝากไว้กับเอลไมร่า
พวกเขาขอโทษเอลไมร่าอย่างสุดหัวใจที่ไม่สามารถปกป้องแอริธได้ นอกจากแอริธแล้วเพื่อนๆอวาลันช์ของเขาทั้งบิ๊ก,
เวดจ์, เจสซี่
รวมทั้งคนอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องอีกมากมายก็ต้องมาตายเพราะปฏิบัติการของพวกเขา
แม้แบเร็ตจะพยายามเริ่มต้นชีวิตใหม่แต่ก็ไม่อาจสลัดตราบาปนี้ออกไปได้
แบเร็ตร่วมกับทีฟาและคลาวด์ช่วยกันสร้างร้านเซเว่นเฮฟเว่นขึ้นมาใหม่ในเมืองเอดจ์
เมืองใหม่ที่ชาวมิดการ์สร้างขึ้นทางตะวันออกของมิดการ์
หลังกิจการเริ่มเป็นไปด้วยดีแล้วเขาเห็นว่าที่นี่ยังไม่ใช่ที่ๆเขาควรใช้ชีวิตอยู่หลังจากนี้
มันเป็นที่ของทีฟาต่างหาก เขาบอกคลาวด์แบบนั้นแล้วเดินทางปลีกตัวออกมา
เพื่อให้ทีฟา คลาวด์ และมาร์ลีนใช้ชีวิตอยู่อย่างครอบครัว
ในขณะที่ตัวเขาออกเดินทางสะสางเรื่องราวในอดีต
ทุกคนรวมทั้งตัวแบเร็ตเองรู้ตัวดีว่าเขามีชีวิตอยู่ได้ด้วยการต่อสู้มาตลอด
เมื่อการต่อสู้จบสิ้นลงไปแล้วเขาก็นึกไม่ออกว่าหลังจากนี้จะใช้ชีวิตอย่างไรต่อ
ด้วยแขนปืนและรูปร่างสูงใหญ่ทำให้ผู้คนพากันหวาดกลัวเขา แบเร็ตจึงเดินทางไปพบซากากิอีกครั้งเพื่อขอให้ทำแขนกลที่อ่อนโยนเหมาะกับโลกที่ปราศจากการต่อสู้นี้
โดยแบเร็ตจะช่วยงานทำสวนมันฝรั่งกับหลานของซากากิเป็นการตอบแทนหนึ่งสัปดาห์
ในช่วงนี้แบเร็ตได้เห็นผู้คนกลับมาทำการเกษตรด้วยเครื่องจักรไอน้ำยุคก่อนมีมาโคเขาก็คิดถึงวิถีชีวิตของผู้คนหลังจากนี้หลายๆเรื่อง
- ผู้คนจะกลับไปใช้ชีวิตเหมือนยุคก่อนสินะ?
หน้าที่ของเขาคือการออกนำผู้คนหรือเปล่า?
เครื่องจักรบางทีก็จำเป็นกับการช่วยชีวิตของผู้คนเหมือนกัน?
ถ่านหินก็ไม่เข้าท่า
บางทีถ้าใช้มาโคเท่าที่จำเป็นดวงดาวก็คงไม่ว่าอะไรมั้ง?
ใช้มาโคเรอะ? เฮ้ย!
ฉันเป็นบ้าอะไรไปแล้วเนี่ย!?
ยกโทษให้ฉันเถอะนะบิ๊ก เวดจ์ เจสซี่...
ซิดที่กำลังพัฒนาเรือเหาะลำใหม่บอกกับแบเร็ตว่าถ้าไม่สามารถใช้มาโคได้แล้วเชื้อเพลิงที่ดีที่สุดสำหรับยุคที่กำลังจะมาถึงก็คือน้ำมัน
ซึ่งไม่มีใครในโลกไกอาคิดจะนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงมาก่อน แบเร็ตก็รู้จักน้ำมันเพียงแค่เป็นของเหลวหนืดที่ใช้จุดตะเกียงให้แสงสว่างในเหมือง
แม้จะรู้สึกเศร้านิดๆที่ยุคของถ่านหินกำลังจะหมดไปแต่พวกเขาก็กำลังก้าวไปสู่ยุคใหม่
แบเร็ตเปลี่ยนใจแล้ว
เขาจะออกเดินทางไปหาแหล่งน้ำมันใหม่ๆที่มีอันตรายนานัปการรออยู่และเขาคงจะต้องต่อสู้ต่อไปอีกสักระยะ
"ฉันยังต้องใช้อาวุธอยู่
ไม่ใช่แค่ปกป้องตัวเอง
ฉันไม่มีสิทธิ์อันชอบธรรมที่จะหนีจากการต่อสู้ไปได้
แต่ถ้าหากฉันต่อสู้แล้วทำให้คนอื่นไม่จำเป็นต้องจับอาวุธสู้ละก็
ฉันยินดีสู้สุดใจ"
ซากากิได้ยินแบบนั้นก็เอาแขนเหล็กอันปราณีตที่เขาทำไว้ให้แบเร็ตหลายปีแล้วให้ดู
แบเร็ตคิดว่าสักวันเขาจะกลับมาที่นี่แล้วใช้แขนเหล็กอันนี้เขียนจดหมายส่งไปหามาร์ลีน
และเมื่อนั้นการต่อสู้ของเขาจึงจะจบสิ้นลงอย่างแท้จริง...
Conceptual Design & Early
Materials
-
แบเร็ตเป็นตัวละครลำดับที่ 3
ที่คุณโนมุระผู้ออกแบบตัวละครได้ออกแบบขึ้นถัดจากคลาวด์และแอริธ
-
อาชีพของแบเร็ตที่กำหนดในทีแรกคือ
Gunner
-
ในทีแรกได้กำหนดให้มาร์ลีนเป็นลูกสาวของแบเร็ตโดยสายเลือด
แต่ได้เปลี่ยนให้เป็นลูกสาวของไดน์ภายหลัง
-
ส่วนไดน์ ในตอนแรกจะใช้ชื่อว่า ดูเอล
ซึ่งได้ออกแบบให้สูงโปร่งและติดปืนลักษณะเหมือนไรเฟิลที่แขนซ้าย
ตรงข้ามกับแบร์เร็ตที่ตัวล่ำบึ้กและติดปืนกลที่แขนขวา
-
ในทีแรกจะให้แบเร็ตสู้กับไดน์ระหว่างการต่อสู้ของอวาลันช์กับชินระที่ซากเมืองโคเรล
-
ในทีแรกกำหนดให้ไฮเด็กเกอร์หรือไม่ก็รีฟเป็นผู้ทำลายเมืองโคเรล
แต่ได้เปลี่ยนเป็นสการ์เล็ตภายหลัง
-
ในทีแรกให้อาวุธของแบเร็ตเป็นปืนยิงลูกดอก
แต่เปลี่ยนเป็นแขนปืนในภายหลัง
-
รอยสักต้นแขนซ้ายแบเร็ตเป็นรูปหัวกะโหลกในเปลวไฟ
-
ใน
Advent Children แบเร็ตผูกริบบิ้นสีชมพูไว้ที่แขนซ้าย
และสวมแหวน Cloudy Wolf Ring
ที่นิ้วกลางซ้ายด้วย
-
หลังได้ยินหลายคนบอกว่าแบเร็ตคล้าย
Mr.T
นักแสดงชาวอเมริกันมาก คุณโนมุระจึงออกแบบแบเร็ตใหม่ใน
Advent Children
ให้ดูเป็นคนละคนไปเลย
ในส่วนเครื่องแต่งกายนั้นคุณนาโอระเป็นผู้ออกแบบ
Mr.T
Trivia
-
ในคู่มือภาคภาษาอังกฤษได้พิมพ์ชื่อ
Barret เป็น Barrett
-
Ungarmax เป็นลิมิตเบรกที่มีจำนวนครั้งการโจมตีสูงสุด
เช่นเดียวกับท่า Highwind ของซิดคือ 18
ครั้ง แต่เป็นลิมิตเบรกระดับ 3 ซึ่งสะสมเกจลิมิตง่ายกว่า
หลายคนจึงใช้เทคนิคต่างๆเพิ่มพลังโจมตีของแบเร็ตให้สูงสุดแล้วยิง
Ungarmax จะมีพลังโจมตีได้ถึง 9999x18
DMG เลยทีเดียว
-
ที่โกลด์ซอเซอร์ เราสามารถเดทกับแบเร็ตได้ด้วยนะ
และแบเร็ตก็จะพร่ำเพ้อถึงมาร์ลีนตลอดการเดท แถมเพลงตอนนั่งกอนโดล่ายังเป็น
Barrets Theme แทนที่จะเป็น
Interrupted by Fireworks
เหมือนคนอื่นๆอีกต่างหาก
-
แบเร็ตเป็นชายผิวสีที่สามารถใช้เล่นได้เป็นคนแรกตั้งแต่มีซีรี่ยส์ไฟนอลแฟนตาซีมา
ซึ่งก็ทำให้เกิดประเด็น
racist
เรื่องผู้ก่อการร้ายผิวสีไม่น้อย
-
ปืน
Gatling Gun อาวุธแรกของแบเร็ตไม่สามารถขายทิ้งได้
เช่นเดียวกับ Buster Sword
ของคลาวด์เนื่องจากอาวุธนี้ปรากฏในมูวี่ตอนหนีออกจากตึกชินระด้วย
<กลับไปหน้าหลัก> |