On the Way to a Smile : Case of Shinra

 

Written by Kazushige Nojima

Published in FFVII: On the Way to a Smile Book

Translated (Jap>Eng) by LH Yeung

Translated (Eng>Thai) by Shiryu

On the Way to a Smile ตอนสุดท้าย ซึ่งวางจำหน่ายพร้อม Advent Children Complete ในปี 2009 เรื่องราวของชินระหลังสิ้นสุดสงครามเจโนวา เรื่องราวจะบรรยายถึงชินระที่เหลืออยู่ได้แก่รูฟัสและเติร์กสี่คน โดยส่วนแรกจะเน้นเรื่องของเส็งที่รอดชีวิตจากการโจมตีของเซฟิรอธที่โบสถ์โบราณ และส่วนหลังจะเน้นเรื่องของรูฟัสหลังจากหนีการโจมตีของไดมอนด์เวพ่อน ระหกระเหินไปหลายที่ ก่อนจะมาจอดที่ Healin Lodge ดังที่เห็นใน Advent Children

หลังจากเชียร์เติร์กกระทืบอวาลันช์ใน Before Crisis มาแล้วหนนี้เรามาเชียร์เติร์กไล่เตะชาวบ้านจอมประท้วงกันอีกรอบดีกว่า :D

ต้นฉบับภาษาอังกฤษ : FF Web Novel

 

 

On the Way to a Smile

 

บนเส้นทางสู่รอยยิ้ม


เรื่องราวของชินระ

 

 

ที่ซากโบราณ เส็ง หัวหน้าแผนกอำนวยการวิจัยของชินระ หรือที่รู้จักกันในนาม "เติร์ก" ได้รับมอบหมายให้มาเอาหินโบราณที่เรียกว่า "แบล็คมาทีเรีย" แต่ขณะที่เขาเกือบทำสำเร็จ เซฟิรอธได้ปรากฏตัวขึ้นและทำร้ายเขาบาดเจ็บสาหัส เส็งถูกทิ้งไว้ข้างกำแพงอาการปางตาย เลือดไหลออกมาไม่หยุดจนเขาหมดสติไป ขณะเขาเตรียมใจตายแล้วนั้น แอริธและพรรคพวกของเธอที่ตามเซฟิรอธมาที่ซากโบราณแห่งนี้เหมือนกันก็ปรากฏตัวขึ้น

เส็งทำหน้าที่เฝ้าดูและหาโอกาสพาผู้สืบเชื้อสายของเผ่าโบราณมาร่วมกับชินระมายาวนาน บางครั้งเขาเองก็รู้สึกแย่กับการกระทำป่าเถื่อนของพวกลูกน้องของเขา แม้เทียบกับส่วนอื่นๆของชินระแล้วพวกเติร์กยังนับว่ามือเบามาก เขาเคยพยายามใช้กำลังบังคับแม่ของแอริธซึ่งก็ทำให้ต้องเสียเธอไป และเหตุการณ์นั้นก็ทำให้คติในการทำงานของเขาเปลี่ยนแปลงไป

แอริธเป็นผู้สืบทอดเชื้อสายเผ่าโบราณคนสุดท้ายในโลก เส็งคิดแต่เพียงว่าคนที่เป็นเพียงด้านมืดของบริษัทอย่างเขาไม่คู่ควรจะเข้าใกล้คนสูงค่าเช่นเธอ เขาจึงทำได้เพียงเฝ้าดูแอริธจนวันเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
 


 

แอริธพูดกับเขาเป็นครั้งแรกเมื่อครั้งที่เธอยังเล็กมาก

"ขอบคุณที่ขยันทำงานมาตลอดนะคะ"

เส็งได้ยินเด็กน้อยพูดแบบนั้นก็สงสัย พอเห็นเขายืนนิ่งอยู่พักหนึ่งแอริธก็พูดต่อ

"คุณคอยปกป้องหนูใช่ไหมล่ะคะ?"

แม้จะเป็นโอกาสดีที่จะชวนเธอมาร่วมด้วย แต่เส็งกลับซื่อสัตย์กับตัวเองแล้วพูดความจริงทั้งหมดให้เธอฟัง

"ฉันชื่อเส็งจากบริษัทชินระ ฉันมีเรื่องจะมาคุยกับหนูหน่อยนะ"

"หนูเกลียดชินระ!"

เด็กน้อยวิ่งหนีขึ้นไปชั้นบน เมื่อเส็งเห็นแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจที่ได้บอกความจริงและให้แอริธได้ตัดสินใจเอง เขาคิดว่าแม้วันหนึ่งเขาจะต้องบังคับพาตัวเธอไปแต่เขาก็จะไม่โกหกเธอเด็ดขาด

หลังจากนั้นหลายปี เหตุการณ์บางอย่างทำให้แอริธเข้าไปร่วมกับอวาลันช์ที่เป็นกลุ่มต่อต้านชินระ แล้วสถานการณ์ก็พลิกเป็นหลังมือ เมื่อไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้ทำให้เส็งจำต้องสวมวิญญาณปีศาจบีบบังคับแอริธ ทำเอากระทั่งพวกลูกน้องต่างพากันเมินเขา แต่เขาก็นึกหาคำพูดเพื่ออธิบายให้พวกลูกน้องฟังอยู่ตลอด

นี่ไม่ใช่การเล่นบทปีศาจร้าย สำหรับแอริธแล้วชินระนั่นหละคือปีศาจ เพราะงั้นปีศาจก็ต้องทำตัวแบบปีศาจสิ
 



เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นแล้ว แม้ไฟชีวิตเขากำลังจะดับมอด เขาก็ยังคงต้องทำตัวเป็นเติร์กต่อหน้าแอริธ

"โธ่เว้ย การปล่อยให้แอริธหนีไปได้นี่เป็นจุดเริ่มต้นความซวยของฉันจริงๆ"

แต่แอริธก็หลั่งน้ำตาให้เส็ง สำหรับเธอแล้วเขาไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นเพื่อนที่เธอรู้จักมานานแสนนาน เส็งคิดว่าการมาตายเพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดแบบนี้จริงๆก็ไม่เลวร้ายอะไรนัก แต่เขาก็ไม่ได้สนุกกับมันถึงขนาดจะเล่นมุกให้เธอหายเศร้าได้

"ฉันยังไม่ตายหรอก"


เมื่อพวกแอริธไปกันหมดแล้วเส็งนั่งรอความตายอย่างช้าๆ แต่เขาก็ยังไม่หมดลมหายใจเสียที แม้สติจะเลือนรางลง แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าจิตของเขายังไม่ได้ลงไปรวมกับไลฟ์สตรีม

รีฟเป็นคนช่วยชีวิตเส็งไว้ เขาควบคุมหุ่นยนต์แมวขี่หลังม็อกยักษ์เข้ามาหาเส็ง รีฟได้รับมอบหมายให้ใช้หุ่นแมวนี้คอยติดตามแอริธและพรรคพวกของเธอ

"เกือบไปแล้วนะเส็ง"

"แบล็คมาทีเรียล่ะ?"

"..."

เจ้าหุ่นไม่ได้ตอบอะไร มันนิ่งเหมือนถ่านหมดสักพักนึงก็พูดต่อ
"โทษทีนะ ฉันคุมทั้งเบอร์ 1 เบอร์ 2 พร้อมๆกัน มันเลยติดขัดนิดหน่อยน่ะ"

"นั่นสินะ"


เส็งไม่เข้าใจว่ามันยากยังไง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อเพื่อรอรีฟตอบคำถามเดิม

"ฉันปล่อยให้คลาวด์ถือแบล็คมาทีเรียไปชั่วคราวก่อนน่ะ ยังไงก็ดีกว่าให้เซฟิรอธได้ไปใช่ไหมล่ะ?"


คลาวด์คือคนที่เชื่อมทุกสิ่งเข้าด้วยกัน และยังมีปริศนาอยู่ในตัวเขารอการเปิดเผยอยู่ แต่เขาก็เป็นแค่เด็กหนุ่มคนนึง เส็งไม่มีวันรู้ว่าผลลัพธ์มันจะลงเอยอย่างไร แต่ยังไงการที่แบล็คมาทีเรียอยู่กับคลาดว์น่าจะช่วยป้องกันการใช้เมเทโอ มนต์ดำขั้นสุดยอดได้

"คลาวด์ได้แบล็คมาทีเรียไปสินะ"

"ส่วนคุณเส็ง เดี๋ยวผมจะติดต่อชินระมาช่วยคุณนะครับ"

"....ได้"

"อีกเรื่องนึง ผมถูกจับได้ว่าเป็นสปายแล้ว แต่ผมก็จะร่วมทีมกับพวกเขาต่อไป พวกเขาเป็นกลุ่มที่น่าสนใจมากเชียวล่ะ ผมอยากรู้ว่าพวกเขาจะทำยังไงต่อไป อ้อ รีบออกจากที่นี่กันเถอะ"

มีอีกหลายเรื่องที่เส็งอยากถาม แต่พอม็อกยกตัวเขาขึ้น เขาก็เจ็บแผลจนหมดสติไปและจำเรื่องที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นไม่ได้


คนสามคนที่เคยเป็นลูกน้องเส็งนำตัวเขาออกมาด้วยเรือ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมรีฟจึงติดต่อคนพวกนี้มารับตัวเขา ไม่ได้ติดต่อบริษัทโดยตรง แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ติดต่อกับสามคนนี้มานานมากแล้ว คำถามมากมายถาโถมเข้ามาในหัว แต่เส็งก็ไม่มีแรงจะพูดอะไร เขาหมดสติไปนานจนกระทั่งตื่นขึ้นในห้องเล็กๆ พอสูดเอาอากาศที่มีกลิ่นสายน้ำปนกับสนิมเหล็กแล้วเขาก็รู้ทันทีว่าตอนนี้เขาอยู่ที่จูน่อน ขณะเดียวกันก็มีหมอคนหนึ่งเข้ามาในห้องแล้วเริ่มรักษาเขา
 

 
หลังเส็งออกไปจากซากโบราณแล้ว แอริธก็เสียชีวิตและแบล็คมาทีเรียเปลี่ยนมือจากคลาวด์มาอยู่ที่เซฟิรอธ เมเทโอมนต์ดำขั้นสูงสุดถูกอัญเชิญมา

ว่ากันว่าเหลือเวลาอีก 3-7 วัน ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกจะสูญสิ้น
 

ณ มิดการ์เขตศูนย์ บริเวณใกล้ตึกสำนึกงานใหญ่

อาวุธสุดท้ายสำหรับต่อสู้กับเซฟิรอธคือปืนใหญ่ที่ถูกย้ายจากจูน่อนมาตั้งบนเสาค้ำเขตแปด "ซิสเตอร์เรย์" ที่เชื่อมต่อกับท่อพลังงานมาโคทั้งมิดการ์ และเชื่อกันว่าหากเพิ่มพลังของมันด้วยฮิวจ์มาทีเรียแล้วมันจะสามารถทำลายศัตรูทั้งหมดรวมทั้งเซฟิรอธได้ ปืนถูกเล็งไปที่เครเตอร์ตอนเหนือที่เซฟิรอธหลับใหลอยู่ พวกเขาคิดกันว่าถ้าเซฟิรอธตาย หายนะที่เขาเรียกมาจากฟากฟ้าด้วยแบล็คมาทีเรียก็จะอันตรธานไปด้วย และเมื่อภัยคุกคามดวงดาวหมดไป เวพ่อนก็จะกลับไปจำศีลเหมือนเดิม

"ตามทฤษฎีแล้วก็เพอร์เฟ็คละนะ" รู้ดพูดขณะแหงนมองไปยังซิสเตอร์เรย์

"ตามทฤษฎีเรอะ? แล้วจะมีอะไรไม่ตามทฤษฎีเล่า?" เรโนถามด้วยน้ำเสียงจริงจังผิดกับนิสัยปกติของเขา

"ก็ยังห่วงอยู่น่ะ"

"งั้นชั้นก็โล่งละ"

"หมายความว่าไง?"
รู้ดถามขึ้น

"ชั้นคิดว่าชั้นห่วงอยู่คนเดียวซะอีก เราจะยิงไอ้ปืนนี่จริงๆน่ะเหรอ? ไม่ทดสอบยิงก่อนรึไง? แล้วมิดการ์จะเป็นยังไง?"

"ถ้าฉันบอกนายว่าทุกอย่างจะต้องโอเคนายจะเลิกกังวลไหมล่ะ?"
รู้ดยังคงตอบคำถามมากมายด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

"เฮ้ย อย่าโกรธสิ"


สุดท้ายซิสเตอร์เรย์ก็ล้มเหลวและกลายเป็นขยะชิ้นโตไป อีกทั้งชั้นผู้บริหารของตึกชินระยังถูกเวพ่อนทำลาย รู้ดและเรโนได้เห็นซากตึกรามบ้านช่องมาก็มากตอนปฏิบัติภารกิจเติร์ก แต่กับตึกชินระนี้เขารู้สึกแตกต่างออกไป พวกเขามีงานออฟฟิศนิดหน่อย ภารกิจส่วนใหญ่จะต้องออกไปทำข้างนอก ตึกนี้จึงเป็นเหมือนบ้านที่พวกเขาจะกลับมาหลังเสร็จภารกิจ ทั้งเวลายากลำบากที่พวกเขาต้องเผชิญในภารกิจต่างๆร่วมกับเพื่อนๆ ทั้งเวลาที่ถูกเจ้านายต่อว่า ทั้งตอนจีบสาวเวลาว่างๆ ทั้งตอนถูกสาวจีบ พอออกจากสำนักงานไปแล้วพวกเขาก็พร้อมจะเดินเครื่อง แต่พอกลับมาถึงสำนักงานปุ๊บพวกเขาจะไฟมอด กลับกันกับมนุษย์เงินเดือนปกติ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็มีความรู้สึกมากมายเกี่ยวกับตึกแห่งนี้

รู้ดและเรโนยิ่งรู้สึกไม่ดีมากขึ้นเมื่อรู้ว่าประธานของพวกเขาหายสาบสูญไป


หลายๆคนได้เห็นเวพ่อนยิงใส่ชั้นผู้บริหาร เลยคิดว่าประธานคงไม่ได้แค่หายตัวไปเฉยๆ แล้วพนักงานคนอื่นๆก็อาจไม่ปลอดภัยด้วยเพราะระบบจัดการของชินระปั่นป่วนไปหมดแล้ว หลายคนพากันสละตำแหน่งก่อนที่เมเทโอจะตกลงมา

เรโนกับรู้ดรู้ดีว่าพวกเขาต้องคิดถึงความปลอดภัยของประธานก่อน ทั้งสองรีบไปที่ลิฟท์แต่มันก็ไม่ทำงาน เลยต้องไปใช้ลิฟท์ของพนักงานทั่วไป

"ไม่ขยับเลย"

"คงติดระบบล็อคฉุกเฉินมั้ง"

"ทีไอ้ระบบนี้ละดันไม่เสีย"

"เรโน รู้ด ขึ้นบันไดเร็ว"


ทั้งสองหันตามต้นเสียงไปก็พบชายผมยาวที่คุ้นเคย ผู้ซึ่งพวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมาปรากฏตัวที่นี่

"หัวหน้า!"

พวกเขาได้รับรายงานว่าเส็งเสียชีวิตเมื่อหลายวันก่อน เอเลน่าออกไปไล่ตามพวกคลาวด์ด้วยตัวเองที่เครเตอร์ตอนเหนือเพื่อล้างแค้นแต่ก็ล้มเหลวและกลับมามิดการ์ด้วยท่าทางไม่ค่อยดีนัก เธอพร่ำแต่คำว่า "ล้างแค้นๆๆๆๆ" เหมือนถูกผีสิง พูดง่ายๆก็คือเติร์กทุกคนพากันคิดว่าเส็งตายแล้วนั่นแหละ

"มีอะไรเหรอ?" เส็งถามขึ้นเมื่อเห็นเรโนและรู้ดมีสีหน้าตะลึง

"หัวหน้ายังมีชีวิตอยู่เหรอเนี่ย"

"ก็ยังไม่ตายอย่างที่เห็นนั่นแหละ แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายแล้วนะ"

"อืม"
เรโนพยักหน้าเหมือนจะบอกว่าเขาก็ไม่ได้ต้องการฟังคำอธิบายหรอก

"หัวหน้าคะ!"

เสียงผู้หญิงดังขึ้น ทั้งสามคนหันไปเห็นเอเลน่ายืนอยู่ สมาชิกเติร์กที่อายุน้อยที่สุดคนนี้ดีใจออกนอกหน้าเมื่อรู้ว่าหัวหน้ายังมีชีวิตอยู่ เธอกระโดดเข้ามากอดเส็งเต็มรัก

"เฮ้ยๆ เอเลน่า เราก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกันฟ่ะ" เรโนบอก

"เอาเลยสิรุ่นพี่"

"ขอบาย"


เส็งวางมือบนไหล่ของเอเลน่าและมองมายังลูกน้องของเขาทั้งสามคน

"...ไปกันเถอะ ได้เวลาทำงานแล้ว"
 


ความมืด--


หลังถูกเวพอนยิงใส่อย่างจัง รูฟัส ชินระ หัวเราะลั่นขณะที่ค่อยๆหมดสติไป


เวพ่อนคือมอนสเตอร์ที่เคยหลับใหลอยู่ภายในดวงดาว การโจมตีใส่ตึกสำนักงานชั้นผู้บริหารของมันซัดรูฟัสกระเด็นลงไปนอนกับพื้น เกิดระเบิดอย่างรุนแรงพัดเศษเหล็กโครงหลังคาตกลงมาข้างตัวเขา เขาพยายามหลบลงไปใต้เก้าอี้เพื่อหลบเศษซากตึก ตอนที่เห็นเวพ่อนยิงเข้ามาเขาคิดว่าตัวเองคงไม่รอดแล้ว แต่พอโดนซัดลงไปกองกับพื้นเขาโมโหสุดขีด เขาโกรธที่ตัวเองคิดยอมรับความตายแต่โดยดี ทำไมกันนะ? อะไรทำให้เขาคิดว่าตัวเองยังตายไม่ได้? ความโกรธทำให้เขาเยือกเย็นลง เวพ่อนอาจยิงมาอีกรอบ เขาต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด

ขณะมองหาทางออก ตาเขาก็เหลือบไปเห็นปุ่มเล็กๆที่เขียนตัวอักษร 'L' อยู่ใต้โต๊ะซึ่งเขาไม่เคยสังเกตมาก่อน อาจเป็นกลไกฉุกเฉินอะไรสักอย่างที่จะช่วยเขาได้ รูฟัสกดปุ่มโดยไม่ลังเล ทันใดชั้นพื้นที่เขาเหยียบอยู่ก็ถล่มลงมาเมตรกว่าๆ และตัวเขาก็ไหลมาตามทาง
"สุดท้ายเราก็ต้องตายอยู่ดีสินะ แถมตายในช่องลมรอบอาคารอีกตะหาก ทุเรศจริงๆ ตอนคนอื่นมาเจอศพเราเขาจะคิดยังไงนะ? ประธานชินระที่มีพลังมหาศาลพอที่จะต่อกรกับศัตรูของดวงดาว ...ต้องมาตายคาช่องลม ห่วยแตกเอ้ย มองไม่เห็นอะไรเลย ทำไมช่องลมนี่มันต้องทำมาให้ชันขนาดนี้ด้วยนะ แล้วไอ้ปุ่ม L นั่น...."

ทันใดนั้นรูฟัสก็นึกถึงตอนที่เขาคุยกับพ่อเมื่อ 20 ปีก่อนขึ้นมาแล้วหัวเราะลั่น


ตอนนั้นเขาเพิ่งห้าขวบ เจ้าหนูรูฟัสตื่นขึ้นมากลางดึกและเห็นพ่อเขากลับมาบ้าน ซึ่งไม่ค่อยจะได้เห็นนัก เขาคิดว่าพ่อคงโมโหและไล่เขากลับไปนอน แต่วันนี้พ่ออารมณ์ดีมากและโชว์พิมพ์เขียวให้เขาดู เป็นผังปรับปรุงสำนักงานของประธานที่ชั้นบนสุด

"เป็นไงบ้างล่ะ นี่จะเป็นห้องที่พ่อนั่งตอนที่ออกคำสั่งไปทั่วโลก"

"เจ๋งเลยฮะ"


รูฟัสพยายามอ่านรายละเอียดในแปลนเพื่อแสดงให้พ่อเห็นว่าเขาฉลาดขนาดไหน แต่ก็อ่านไม่รู้เรื่อง เขาเลยพูดคำที่เขาคิดในใจแว่บแรกออกมา

"พ่อฮะ แล้วทางออกฉุกเฉินอยู่ไหนล่ะ?"

พ่อไม่เข้าใจว่ารูฟัสคิดอะไรอยู่

"ทางออกฉุกเฉินอะไรเหรอ?"

"ถ้าศัตรูโจมตีมาก็ต้องมีทางไว้หนีสิฮะ"

"อ่า..."


พอได้ฟังลูกชายพูดแบบนี้พ่อก็เอ่ยขึ้น
"บริษัทชินระไม่มีศัตรูหรอก ต่อให้มี สำนักงานของประธานก็อยู่ตั้งชั้น 67 เชียวนะ ไม่มีใครบุกขึ้นมาได้หรอกลูก"

"คุณปาลเมอร์บอกว่าศัตรูอาจบุกมาจากอวกาศได้นะ"

"ปาลเมอร์พูดงั้นเหรอ?"


พ่อขมวดคิ้วดูท่าทางโมโห สงสัยคุณปาลเมอร์หัวหน้าฝ่ายพัฒนาอวกาศยานงานเข้าแหงๆ แต่เขาบอกอยู่เสมอว่าเขาถูกจ้างมาโดนด่าอยู่แล้ว คงไม่เป็นไรมั้งขอแค่พ่อไม่โกรธเราก็พอ

"พ่อฮะ ผมขอโทษ ผมง่วงแล้วฮะ"

"ฟังนะรูฟัส ก็อย่างที่ลูกว่านั่นแหละ..."
ประธานชินระพูดต่อโดยไม่ฟังที่ลูกบอก "พ่อจะสร้างทางหนีไว้เผื่อศัตรูโจมตี แต่ขอพูดให้ชัดๆไว้ก่อนนะว่าพ่อจะไม่ใช้มัน มันมีไว้ให้ลูกใช้วันที่ลูกขึ้นเป็นประธานของบริษัทนี้ อ้อ แต่ยังไม่การันตีนะว่าลูกจะขึ้นมาแทนที่พ่อ"

"พ่อ...."

"อย่างพ่อเนี่ยนะจะต้องหนี?"

"พ่อฮะ ผมขอโทษ"

"จะขอโทษทำไมเล่า? จะบอกว่าที่ลูกบอกตะกี้ไม่ถูกเหรอ?"

"ฮะ"

"ซื่อบื้อจริงๆนะเราน่ะ!"


พอเห็นแปลนแล้วรูฟัสคิดอย่างอื่นไม่ออกนอกจากทางออกฉุกเฉินเขาก็เลยเผลอพูดออกไป

"เราจะเขียนตำแหน่งทางออกไว้ด้วยอะไรที่สังเกตง่ายๆอย่างตัว L แล้วกัน L ย่อมาจาก Loser (ไอ้ขี้แพ้)"


ตอนนี้รูฟัสรู้สึกขอบคุณตัวเขาเมื่อตอนห้าขวบมาก

เส้นทางช่องลมที่ยาวเหมือนจะไม่สิ้นสุดกว่าจะถึงพื้นทำให้รูฟัสมีเวลาคิดถึงอดีตได้เกือบทั้งชีวิต ความทรงจำที่เขาเคยลืมเลือนไปแล้วค่อยๆหวนกลับมาทีละอย่างๆ ทุกเรื่องล้วนเกี่ยวกับพ่อของเขา พอรู้แบบนี้รูฟัสก็เข้าใจว่าเขาเป็นเพียงชายคนหนึ่ง ...เป็นเด็กผู้ชายคนหนึ่ง เด็กที่ต้องการก้าวข้ามพ่อเพื่อให้พ่อของเขาเอ่ยปากชมแต่ไม่รู้จะแสดงออกมายังไง สุดท้ายแล้วสิ่งทีได้จากพ่อก็มีแต่การดุด่าและถูกเมิน แต่เพราะประสบการณ์พวกนั้นพาเขามาจนถึงจุดนี้ได้ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องพวกนั้นตลกยิ่งกว่าโจ๊กไหนๆที่เคยได้ยินมา เขาหัวเราะออกมาดังลั่นในโพรงมืดสนิท

รูฟัสไถลมาลงยังห้องสว่างจ้าที่ล้อมด้วยผนังสีขาว เขาไหลมากระแทกเอาผนังเข้า

"อุ้ก!"

รูฟัสหัวเราะสมเพชตัวเอง ท่าทางซี่โครงเขาจะหักแต่เขาก็หยุดหัวเราะไม่ได้ ถ้าใครมาเห็นภาพเขาตอนนี้คงทุเรศน่าดู รูฟัสเริ่มเดินสำรวจห้องแคบๆพื้นที่ประมาณห้าตารางเมตรนี้ดูก็พบเตียงคนป่วยที่ปูด้วยผ้าอย่างดีแต่ท่าทางจะถูกทิ้งมานานมากแล้ว ผนังด้านขวาเป็นตู้เก็บของ ด้านซ้ายเป็นประตูเหล็ก รูฟัสฝืนสังขารคลานเข้าไปดูใกล้ๆก็เห็นว่าไม่น่าจะมีกับดักอะไร มีหน้าปัดเล็กๆที่ประตูแต่รูฟัสก็ไม่รู้จะใช้มันยังไงแถมไม่มีแรงพอที่จะเอื้อมไปกด เขาจึงหันกลับไปยังตู้ใส่ของ

สภาพแบบนี้ให้ใครเห็นไม่ได้แน่ๆ ประตูตู้ไม่ได้ล็อค ข้างในมีกล่องฆ่าเชื้อของชินระ เขาเปิดลิ้นชักล่างแล้วเอากล่องออกมา บนกล่องเขียนว่า
"สำหรับ L"

"เฮอะ"


รูฟัสเห็นข้อความที่เขียนไว้ก็กลั้นหัวเราะไม่ได้แม้จะเจ็บซี่โครง ข้างในกล่องมีโพชั่นและยาอื่นๆ ถ้าไอเท็มเวทบูดแล้วจะเป็นพิษ รูฟัสไม่อยากเสี่ยงเลยใช้แค่ยาแก้ปวดบรรเทาอาการ ขณะที่สายตายังจับจ้องไปที่ตัว 'L' บนกล่อง

"อย่ามาทำผมขำอีกน่าพ่อ"

พอยาแก้ปวดออกฤทธิ์สติของเขาก็เริ่มพร่าเลือน รูฟัสฝืนเดินไปที่ประตูแล้วพยายามใส่พาสโค้ด แต่ฤทธิ์ยาทำให้เขาไม่มีสมาธิแกะโค้ดทำให้เปิดประตูไม่ได้เสียที รูฟัสรู้สึกหงุดหงิดแต่คนที่เลือกกินยาก่อนก็ตัวเขาเองนั่นแหละ

 


 

รู้ดและเรโนขึ้นมาถึงห้องประธานที่เละตุ้มเป๊ะ

"ไม่มีใครอยู่เลย"

"นั่นสิ"

"นายเช็คละเอียดสามรอบแล้วใช่ไหม?"

"ดูหมดทุกที่แล้ว"

"งั้นเขาก็ยังมีชีวิตอยู่สินะ"

"แล้วเขาอยู่ไหนกันนะ?"


พวกเรโนตรวจคานหลังคาที่ตกลงมาดูหมดแล้วก็ไม่พบว่ารูฟัสถูกทับอยู่ข้างล่าง ตอนนี้เมเทโอใกล้เข้ามาทุกขณะ ลมพายุก็พัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกเติร์กไม่สนใจและตามหารูฟัสต่อไป หน่วยกู้ภัยที่ส่งออกตามหาก็ยังไม่ส่งข่าวรูฟัสมาเลย

รู้ดและเรโนเข้าประตูที่ถัดมาจากทางเข้าชั้นหนึ่งเป็นห้องฉุกเฉินที่อยู่เกือบติดพื้นที่สร้างง่ายๆไร้ของตกแต่งแต่มั่นคงแข็งแรงตามนิสัยของประธานคนก่อน ทั้งห้องมีแต่คานเหล็กรับน้ำหนักเต็มผนัง, พื้น และเพดาน

"ไม่มีอะไรเลย ไปเถอะรู้ด"

"เดี๋ยว"


รู้ดชี้ไปที่ผนัง

"ตรงนั้นสีมันต่างกันอยู่นิดๆนะ"
 



รูฟัสมองดูหน้าปัดประตูมีตัวเลขศูนย์ถึงเก้า คงต้องลองไล่ดูทีละเลข แต่เขาทำไม่ไหวคิดว่าพอลองไปแล้วคงลืมตัวเลขต้องมาเริ่มใหม่อีก เขาคิดว่าพาสโค้ดคงต้องเกี่ยวกับความหมายซ่อนอะไรสักอย่าง แต่ก็คิดว่าพ่อคงไม่ทำแบบนั้นเพราะมันไม่มีความหมายอะไรกับตัวเอง เขาลองสุ่มเลขที่น่าจะเกี่ยวข้องกับทั้งเขาและพ่อ ทั้งวันเกิดแม่ วันตายแม่ แต่ประตูก็ไม่เปิด

เขาไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในห้องนี้มานานแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ และเมเทโอก็ยังอยู่บนฟ้า อีกนัยหนึ่งก็คือแผนใช้ซิสเตอร์เรย์ล้มเหลวและเซฟิรอธยังคงอยู่ในเครเตอร์ตอนเหนือ อีกไม่นานเมเทโอคงพุ่งชนดวงดาวและพอถึงตอนนั้นเขาคงต้องตาย

รูฟัสคิดเรื่องความตาย วิญญาณของฉันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สตรีมที่ไหลวนอยู่ในดวงดาวสินะ อยากรู้จังว่าพ่ออยู่ที่นั่นด้วยหรือเปล่า ความนึกคิดคนเรานี่มีรูปร่างไหมนะ? ไม่สิ กระแสพลังงานมหาศาลขนาดนั้นคงพัดความนึกคิดของคนๆนึงแตกกระจายไปหมดแล้วหละ

"อ้อ แบบนี้เอง"

เขารู้สึกเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาว่าหากดวงดาวสูญสลายไปจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาก็กินยาแก้ปวดที่เก็บไว้ในกระเป๋าสูทขาวอีกสามเม็ด เคี้ยวแล้วมองไปที่หน้าปัด

"ฮ่า"

ถึงเขาจะต้องตายเขาก็ไม่คิดจะตายในห้องแบบนี้ เขาลองเลขที่ทีแรกไม่ได้คิดถึงมาก่อน เขารู้ว่าถ้ายอมกรอกเลขพวกนี้ลงไปนั่นหมายถึงเขายอมรับความพ่ายแพ้แก่พ่อเขา แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวมาคิดถึงศักดิ์ศรีแล้ว
 



รู้ดและเรโนตรวจสอบผนังที่สีต่างกันอยู่

"ก็แค่กำแพงธรรมดาน่ารู้ด"

แต่กำแพงก็สั่นนิดๆแล้วจมลงพื้นไป รู้ดและเรโนมองหน้ากันก่อนวิ่งเข้าประตูมาถึงห้องสีขาว

"มีใครอยู่ไหม?" เรโนถามตามมารยาท แล้วเขาก็เห็นรูฟัส

"ทำได้ดีมาก" ประธานหนุ่มของชินระเอ่ยขึ้นก่อนทรุดลงกับพื้น

"หัวหน้า!"

รู้ดเดินเข้ามาในห้องสีขาวผ่านเรโนที่เข้ามาประคองรูฟัสไป เขารู้ทันทีว่าห้องนี้สร้างไว้หลบภัย พอมองไปที่หน้าปัดประตูก็เห็นปุ่มสี่ปุ่มมีแสงแล้วแสงก็ดับไป เขาไม่รู้ว่าประธานคนเก่าอาจใช้โค้ดเดียวกันนี้กับอุปกรณ์อื่นๆด้วยหรือเปล่า เป็นเลขสี่ตัวที่ประธานคนเก่าไม่มีวันลืม

เลขวันเกิดของลูกชายเขา


"รู้ด รีบออกไปตามหมอมาเร็วเข้า ตรวจข้างนอกให้ดีด้วยนะ"

"หัวหน้าเป็นไงมั่ง?"

"ท่าทางหลับสนิทเลย"


รูฟัสหลับไปอย่างที่เรโนว่า เสียงหายใจแผ่วๆของประธานดังออกมา

"ดูท่าทางเขาโล่งอกนะที่เจอเรา" เรโนเล่นมุกแต่แป้ก

"ฉันดีใจนะ" รู้ดพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนเดินออกไปข้างนอก
 




รู้ดออกมาทางประตูหลังตึก ฟ้ามืดสนิทฝนกระหน่ำลมพัดแรง เศษหินเศษปูนทั้งของเพลทด้านบนหรือตัวตึกเองหล่นกระจายไปทั่ว มีสปอตไลท์ตั้งอยู่ทั่วเพื่อช่วยในการค้นหา แสงไฟส่องจากเฮลิคอปเตอร์กระทบเศษแก้วที่ตกเกลื่อนพื้นเกิดเป็นแสงวูบวาบไปทั่วบริเวณ รู้ดมองไปรอบๆด้วยท่าทีสุขุม การที่รู้ว่ารูฟัสยังมีชีวิตอยู่มอบความกล้าหาญให้แก่เขา ตัวรูฟัสคือบริษัทชินระ ไม่ว่าจะดีหรือเลวชินระก็ต้องอยู่ต่อไป เมื่อชินระยังอยู่ก็จำเป็นต้องมีเติร์ก เขาทนคิดถึงชีวิตยามที่ไม่ได้เป็นเติร์กไม่ได้

เฮลิคอปเตอร์ร่อนลงมา ลมแรงพัดเอาแผ่นไม้ขนาดเท่าต้นปาล์มลอยเฉี่ยวหัวรู้ดไป รู้ดยิ้มแหยๆ เขาชอบเรื่องตื่นเต้น และรูฟัสก็หาเรื่องตื่นเต้นมาให้เขาบ่อยๆ

รู้ดเดินหลบเศษตึกไปที่ประตูหน้า มีคนกลุ่มนึ่งหมอบหลบเศษตึกอยู่ รู้ดพยายามตะโกนเรียกเพื่อเช็คว่ายังมีคนรอดชีวิตอยู่กี่คน พอเห็นชายฉกรรจ์หัวล้านสวมแว่นตาดำท่าทางโหดพวกเขาก็กลัว แต่รู้ดกลับพอใจปฏิกริยาของผู้คนที่มีต่อเขาแบบนี้

หน่วยกู้ภัยที่มีทีมแพทย์ของชินระรีบเข้ามาในพื้นที่ รู้ดดึงตัวมาคนนึงแล้วบอกให้ไปช่วยประธาน แต่เขาไม่รู้ว่าถ้าได้ยินชื่อรูฟัสหน่วยช่วยเหลือจะคิดยังไง เขาเลยไม่เอ่ยชื่อ

"เขาเป็นพนักงานชินระหรือเปล่า?"

"เป็น"

"งั้นก็ต้องช่วยก่อน"

"ฝากด้วยนะ"


บุรุษพยาบาลพยักหน้าแล้วเรียกเพื่อนๆขนเปลหามตรงไปที่ประตูหลัง รู้ดตามมาเพราะคิดว่าจะช่วยนำทางพวกเขาไป แต่เขาก็หันไปเห็นผู้หญิงที่พูดติดต่อทางวิทยุอยู่

เธอคือ"ทีฟา"เพื่อนคนหนึ่งของคลาวด์ และเป็นศัตรูของชินระมาพักใหญ่ๆ แต่เขาไม่มีเหตุผลที่จะต้องสู้กับเธอ เติร์กแค่สู้ตามคำสั่งหรือจัดการคนที่ขวางทางอยู่ รู้ดรีบหลบไม่ให้ทีฟาที่กำลังรีบร้อนเห็น

 


 

"เส็ง เรโน รู้ด เอเลน่า" รูฟัสเริ่มคุยกับเติร์กสี่คนที่เหลืออยู่ตอนเช้าหลังเหตุการณ์ที่ไลฟ์สตรีมระเบิดออกมา "จากนี้ไปพวกนายจะทำไงต่อ?"

"พวกเรายังไม่ถูกเลิกจ้างนี่นา"


เส็งและคนอื่นเห็นด้วยกับเรโน

รูฟัสมอบภารกิจให้เติร์กสองอย่าง หนึ่งคือกลับไปมิดการ์และตรวจสอบสถานการณ์ที่นั่น และอีกหนึ่งคือรวบรวมเพื่อนมา

"แค่เป็นพนักงานเราก็ยังไม่นับว่าเป็นเพื่อนนะ เข้าใจที่บอกไหม?"

"เข้าใจครับ แต่ให้รวมเพื่อนมาตอนนี้ทำไมครับ? เราจะทำอะไรกันเหรอ?"

"ฉันอยากรู้ข้อมูลให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหน"


ซี่โครงของรูฟัสหัก และส้นเท้าขวาก็เจ็บอยู่ทำให้เขาต้องนั่งรถเข็น แต่เขาก็ยังไม่ยอมทิ้งเกียรติของตนเองไป

"เส็ง"

"ครับท่าน"

"นายจะต้องรับบทผู้ร้ายอีกแล้วละนะ"

"บางเรื่องก็มีแต่ชินระเท่านั้นที่ทำได้ครับ"


รูฟัสพอใจในคำตอบ

"ต้องสนุกแน่ๆ"

เติร์กแยกออกเป็นสองกลุ่มและมุ่งเข้ามิดการ์แบบไม่พักเหนื่อย เส็งและเอเลน่าทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลต่างๆ ขณะที่เรโนและรู้ดออกไปตามหาพรรคพวก เพื่อนๆที่พบเมื่อวานได้กระจายกันไปรวบรวมข้อมูลส่งกลับไปที่คาล์ม

"อวาลันช์เคยโทษว่าชินระเป็นศัตรูของดาวดวงนี้" เรโนพูดเหมือนนึกอะไรออก

"ฮื่อ"

"ท่าทางพวกนั้นพูดถูกนะ"

"ทำไมล่ะ?"

"ก็ดูสิ"



ไลฟ์สตรีมปกป้องดวงดาวไว้แต่กลับลงโทษมิดการ์ เมืองไม่ได้พินาศเป็นหน้ากลองแต่ยากที่จะบูรณะให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ราวกับเมืองถูกลงโทษให้ทนทุกข์โดยไม่ยอมให้ตาย ยิ่งไปกว่านั้นคนที่รู้ว่าคนช่วยดวงดาวไม่ใช่ชินระต่างพากันเกลียดชังชินระ หลายคนโทษว่าชินระเป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้นด้วยซ้ำ

ทั้งสองมาถึงตึกชินระที่ตั้งอยู่ในเขตศูนย์ มีคนจำนวนมากมารวมตัวอยู่ แต่ก็แทบไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ เหมือนกับพวกเขากำลังรอความช่วยเหลืออยู่

"น่าขำชะมัด" เรโนบ่นขณะฟังพวกผู้อพยพคุยกัน พวกนั้นพากันโทษชินระว่าเป็นต้นตอแห่งความชั่วร้ายแต่ขณะเดียวกันก็หวังว่าชินระจะมาช่วยพวกเขาจากสถานการณ์เลวร้ายนี้

"อยากเอาถุงเท้ายัดปากพวกมัน"

"เอาเลยพวก ฉันไม่ห้ามหรอก"

"พอดีไม่มีคู่สำรองน่ะ"

 



ขณะเดียวกันเส็งและเอเลน่าก็ลงมาที่วอลมาร์เก็ตในสลัมเขตหกของมิดการ์ชั้นล่าง เมื่อก่อนเติร์กลงมาหาข้อมูลข่าวสารที่นี่บ่อยๆ ตอนนี้มันเละเทะไปหมด ทั้งตลาดเต็มไปด้วยเศษซากเมืองที่ร่วงมาจากเพลทชั้นบนและเสาค้ำ ถ้าบอกให้คนไม่รู้คิดว่ามันเป็นแบบนี้อยู่แล้วก็คงเชื่อกัน เพราะสลัมมันก็ต้องเละๆแบบนี้แหละ มีคนเหลืออยู่ไม่มากเพราะข่าวลือว่ามิดการ์จะถูกทำลายและเพลทข้างบนพังลงมาแพร่ไปทั่วทำให้คนพากันอพยพออกไป

เส็งและเอเลน่าได้ยินคนวิจารณ์บริษัทชินระ บางคนพอเห็นเครื่องแบบเติร์กก็เอาหินขว้าง

"แบบนี้คงทำงานลำบาก เปลี่ยนชุดดีกว่าไหม?"

ทั้งสองเข้าร้านตัดชุดไปเลือกเสื้อผ้าเปลี่ยน เส็งใส่เสื้อยืดสีฉูดฉาดเหมือนมาจากคอสตาเดลโซล เอเลน่าสวมชุดกระโปรง ทั้งสองเข้าบาร์ซึ่งเป็นที่ๆมีคนมารวมอยู่มากที่สุดแทบจะไม่เหลือโต๊ะว่าง เส็งและเอเลน่าหาที่นั่งแล้วเริ่มสังเกตการณ์ เส็งจับตาดูชายเชิ๊ตดำที่นั่งกินที่ทั้งโต๊ะที่ควรนั่งได้สี่คน

"หมอนั่นหลับอยู่นี่ ใช่ไหม?"

"เขาอาจจะ...."

"คุณเส็งคะ?"

"ว่าไง?"

"ที่ชั้นเลือกอยู่กับเติร์กต่อไปก็เพราะเกียรติภูมิในความเป็นเติร์กส่วนนึง แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดจริงๆน่ะชั้น...."


ปกติเอเลน่าไม่ค่อยเก็บความรู้สึกที่เธอชอบหัวหน้าตัวเอง แต่พออยู่ต่อหน้าเส็งแบบนี้เธอกลับพูดไม่ออก

"ว่าต่อสิ"

"หือ?"

"เงียบอยู่แบบนี้ไม่สมเป็นเธอเลยนะ จะเป็นเรื่องไร้สาระขนาดไหนฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอก พูดให้จบสิ"

"ไร้สาระเหรอ...?"
เอเลน่าถอนหายใจออกมานิดๆขณะที่เงยขึ้นมองหน้าเส็ง แต่เส็งดูจะสนใจเรื่องชายที่นั่งหลับอยู่มากกว่า

"แปลกจัง"

เส็งลุกขึ้นไปเรียกชายคนนั้น

"คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?"

ไม่มีเสียงตอบรับ เส็งลองเขย่าตัวเขาดูแต่ก็รีบผละมือออกมาทันทีเมื่อสัมผัสของเหลวเหนียวๆที่ไหลออกมาจากตัวชายคนนั้น เอาหงายมือขึ้นมาดูก็เห็นเป็นของเหลวสีดำ เส็งตรวจสอบดูชายคนนี้ต่อแต่เขาใส่ชุดดำเลยดูยากว่าของเหลวสีดำมันไหลออกมาจากตรงไหน

"มีอะไรเหรอคะ?" เอเลน่าเดินเข้ามาหาเส็ง

"เขาตายแล้ว"


รู้ดและเรโนอยู่ในล็อบบี้ของตึกชินระ เรโนเขียนข้อความลงบนบอร์ดประชาสัมพันธ์ที่ล็อบบี้

"ใครอยากออกไปจากที่นี่ให้เดินลงไปตามทางรถไฟ ตอนนี้ไม่มีรถไฟวิ่งแล้วยังไม่มีการกำหนดการเดินรถต่อไป ที่นี่ไม่มีอะไรแจก บริษัทชินระขอปิดตัวชั่วคราว"
 



บ้านในเมืองคาล์มมีสองชั้น ชั้นแรกมีห้องนั่งเล่น, ห้องอาหาร, ครัวเล็กๆ, ห้องน้ำ และสุขา ชั้นสองมีสามห้องนอนซึ่งรูฟัสนอนห้องนึง เขาใส่เฝือกส้นเท้า คอ, อก และเอวพันแผลหนาจนขยับตัวลำบากต้องนั่งรถเข็น

รูฟัสมองผ่านรูม่านที่หน้าต่างลงมายังตัวเมืองเห็นผู้คนพลุกพล่านอยู่ตามท้องถนน คาล์มก็ถูกไลฟ์สตรีมโจมตี แต่ไม่มีบ้านหลังไหนเสียหายหนักขนาดที่คนอยู่ไม่ได้ มีคนอพยพจากมิดการ์มาหาบ้านอยู่มากมาย แต่รูฟัสตอนนี้ไม่มีบอดี้การ์ดอยู่จึงไม่อยากเสี่ยงลงไปคุยกับคนอื่น รูฟัสรู้สึกไม่สบายใจที่ระหว่างเขากับฝูงชนมากมายที่กำลังสับสนวุ่นวายมีเพียงผนังแผ่นบางๆกั้นอยู่ แถมเป็นกำแพงธรรมดาไม่ใช่กำแพงเสริมแรงที่ตึกชินระใช้ เส็งบอกว่าควรมีคนอยู่คอยคุ้มครองรูฟัส แต่รูฟัสปฏิเสธ เขายิ้มเยาะความไร้ประโยชน์ของตัวเองและคิดเรื่องต่างๆซ้ำแล้วซ้ำอีก ตึกชินระเป็นปราการที่พ่อของเขาสร้างขึ้นแต่ก็พูดได้ว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของตัวพ่อเขา วันหนึ่งลูกชายก็ต้องออกจากบ้านของพ่อและสร้างบ้านของตัวเองขึ้นมาจากศูนย์ แล้วนี่ก็ถึงคราวของเขาแล้ว ไม่ใช่มัวแต่กลัวฝูงชน เขาต้องลงไปทำอะไรสักอย่างที่ควรทำ -- ซึ่งก็คือการฟื้นฟูโลกกลับคืนมา

กริ่งประตูดังขึ้น รูฟัสไม่สนใจแต่เสียงกริ่งก็ดังขึ้นมาเรื่อยๆจนผิดปกติ สักพักเขาก็ได้ยินเสียงถีบประตูเหมือนจะบุกขึ้นมา รูฟัสรีบเลื่อนรถเข็นไปหยิบไรเฟิลมาจากใต้หมอนซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อและเข็นรถไปที่ประตู

รู้ดเสริมความแข็งแรงประตูไว้ดีจนคนที่มาหายอมล้มเลิกไปเอง แต่ไม่นานก็ได้ยินเสียงกระจกแตกและมีคนบุกเข้ามาทางหน้าต่าง

"ซวยแล้วสิ" รูฟัสปลดล็อคไรเฟิลเตรียมพร้อมทันที

 


 

ช่วงเย็นเส็งและเอเลน่ากลับมาที่คาล์มขณะเดียวกันก็คุยกันเรื่องโรคที่เจอในสลัมไปด้วย มีหลายคนเป็นโรคเดียวกับชายที่ตายในบาร์

"ตอนฉันพักฟื้นอยู่เธอรู้อะไรมาบ้างไหม?"

"ไม่ค่ะเส็ง ชั้นก็เพิ่งเจอโรคนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกัน"

พูดง่ายๆคือโรคเพิ่งจะระบาดวันนี้และเราไม่ค่อยรู้อะไรมากเกี่ยวกับโรคนี้ เส็งคิด วันนี้กับเมื่อวานมีอะไรต่างกันนะ? อ้อ ไลฟ์สตรีม งั้นไลฟ์สตรีมก็ไม่ใช่แค่ทำลายเมือง แต่เอาโรคนี้มาลงโทษผู้คนบนดวงดาวด้วยสินะ

"หวังว่าผู้คนจะไม่แตกตื่นนะ"

"ก็ไม่รู้สิ"

เอเลน่านึกถึงตอนที่รู้ว่าชายคนนี้ตาย ผู้คนพากันหวาดผวา ทีแรกก็สงสัยกันว่ามันคืออะไร สักพักก็มีคนพูดขึ้นว่า "โรคติดต่อ!" ทำเอาฝูงชนแตกฮือกันรีบหนีออกจากบาร์
 



รู้ดและเรโนมาถึงคาล์มก่อนเอเลน่าและเส็ง ที่จริงพวกเขาอยากใช้เฮลิคอปเตอร์หรือขับรถ แต่ไม่แน่ใจว่าเชื้อเพลิงเหลือมากแค่ไหนจึงไม่ใช้ถ้าไม่จำเป็น

"พรุ่งนี้เราจะไปเขตห้าใช่ไหม?"

"จะเอาไงกับบ้านพักของชินระดีล่ะ เออจริงสิ แกคิดว่ายังมีพนักงานเราเหลืออยู่ข้างบนบ้างไหม?"

"เขตนั้นมีคลังพัสดุอยู่ ฉันอยากไปตรวจสอบพวกยานพาหนะกับอาวุธสักหน่อยน่ะ"

"เออ เราน่ามีอาวุธติดไว้มั่งเหมือนกัน"

เรโนคิดเรื่องผู้คนที่หมดกำลังใจและพวกที่เกลียดพวกเขาแล้วก็เหนื่อยใจ
 


 

รูฟัสถูกชายกลุ่มหนึ่งล้อมไว้

"ท่าทางไม่ค่อยดีเลยนะคุณประธาน" ชายที่มีหนวดเครารุงรังหันกระบอกปืนมาทางรูฟัส

"ใช่ แล้วช่วงเวลาแบบนี้แหละที่ฉันกลัวที่สุด ช่วงเวลาที่มีพวกม็อบหน้าโง่มาหาเรื่อง" รูฟัสพูดขณะจ้องเข้าไปในแววตาแดงก่ำของชายที่อยู่ตรงหน้าเห็นความเกลียดชังชัดเจน เขารู้ดีว่าคงจะถูกฆ่าตาย เขาอาจเอาไรเฟิลยิงร่วงได้สักคนสองคน แต่ชายที่บุกขึ้นมาในห้องนอนเขามีถึงสามคน แถมยังมีรออยู่ข้างล่างอีกเยอะ เขาฆ่าให้หมดทุกคนไม่ไหวแน่ๆ

"ถึงเราจะโง่แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าใครควรรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดทั้งหมดนี่นะเว้ย"

"เหรอ? งั้นขอถามอย่างนึงสิ พอออกจากบ้านหลังนี้ไปแล้วพวกนายจะทำไงต่อ? คิดถึงเรื่องอนาคตกันบ้างหรือยัง?"

"แกหมายความว่าไง?"

"ในโลกนี้มีคนอยู่สองประเภท คนที่ออกคำสั่งและคนที่รับคำสั่ง ที่ถามนี่ไม่ใช่ปัญหาเชาว์นะ พอมีเหตุการณ์อะไรสักอย่างเกิดขึ้น ถ้าคนที่ออกคำสั่งต้องเป็นคนรับผิดชอบ คนที่เหลือก็ไม่รู้จะทำไงต่อ แล้วสุดท้ายทุกอย่างก็เจ๊งไม่เป็นท่า"

"เนี่ยเรอะวิธีร้องขอชีวิตของแก"

"แกพาคนมาที่นี่ได้เยอะก็จริง แต่บทผู้นำงั่งๆนี่มันจะยั่งยืนแค่ไหนกัน? แกมอบอนาคตอะไรให้พวกเขาได้มั่ง?"

"เราเป็นแค่ม็อบโง่ๆ ขอแค่มีชีวิตรอดได้วันๆก็พอแล้วเฟ้ย!"

"ไม่ใช่ 'เรา' แค่ 'แก' คนเดียวนั่นแหละไอ้โง่"
รูฟัสพูดพลางสังเกตท่าทางของคนอื่นๆที่มองไปยังหัวหน้าม็อบ

"แกมีแผนอะไรงั้นเรอะ?" ชายคนหนึ่งถามขึ้น

รูฟัสหันไปมอง เป็นชายอายุประมาณสามสิบกว่าๆ ท่าทางมีอันจะกินกว่าคนอื่น เขาสวมชุดราคาแพงมีแจ็คเก็ตสีกรมท่าสวมทับ รูปร่างกำยำ

"มีสิ ก่อนอื่นก็ต้องสร้างที่อยู่ถาวรให้ได้เสียก่อน คาล์มรองรับคนจากทั้งมิดการ์ไม่ไหวหรอกนะ นายเป็นชาวเมืองคาล์มอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?"

"ใช่"

"นายอยากให้เมืองนี้เป็นเหมือนมิดการ์งั้นเหรอ?"

"...."
เขาพยายามนึกตามว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อ

"เราก็ต้องช่วยผู้ลี้ภัยอยู่แล้วนี่!" ชายถือปืนพยายามตัดบท

รูฟัสตอบ
"งั้นสมมุตินะ ถ้าฝนตกพวกนายจะทำยังไง คนมากมายขนาดนี้จะไปหลบกันที่ไหน? เผื่อแผ่ที่อยู่ให้คนอื่นน่ะดีแต่คนจากมิดการ์มีมากเกินไป พวกนายจะบรรเทาความทุกข์ยากของคนพวกนั้นได้หมดหรือเปล่า? ตราบเท่าที่พวกนายยังสนใจแค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆแบบนี้"

"หุบปาก!"
ชายถือปืนขึ้นเสียง แต่รูฟัสยังคงเงียบอยู่ เขาประเมินชายคนนี้ไว้ถูก ผู้หมวดทหารจะดำเนินการแบบสายฟ้าแลบได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่พอต้องคุมทีมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

"ที่แกพูดมันก็ถูก แล้วถ้าเป็นแกจะทำยังไง?" ชายในแจ็คเก็ตสีกรมท่าถามขึ้น รูฟัสคิดว่าจริงๆแล้วผู้นำอาจเป็นคนๆนี้มากกว่า


"ถ้าอยากรู้ก็เลิกคิดจะฆ่าฉันเสียก่อน"
 



รู้ดและเรโนกลับมาที่คาล์ม รู้สึกว่าเมืองเปลี่ยนไปจากที่เขาเห็นก่อนออกไปตอนเช้ามาก

"คนเพียบเลย"

พอกลับมาที่พักเขาก็เห็นคนมากมายเดินเข้าออกบ้านก็ตกใจ

"หัวหน้า!!"

ประตูบ้านล็อคอยู่ พอมองเข้ามาทางหน้าต่างก็เห็นคนนอนเรียงกันอยู่กับพื้น

"พวกนี้ป่วยนี่"

รู้ดพูดถูก มีสองคนอาการเหมือนคนที่พวกเขาเจอที่มิดการ์ เสื้อผ้าและผ้าพันแผลชุ่มไปด้วยของเหลวสีดำ

"รู้ด แกดูชั้นล่างนะ"

พอพูดจบเรโนก็วิ่งขึ้นไปชั้นบน ซึ่งก็มีคนป่วยอยู่มากเหมือนกัน แต่ไม่พบรูฟัสจึงวิ่งกลับลงมาหารู้ด

"เขาไม่อยู่แฮะ"

"ออกไปข้างนอกกันเถอะพวก ถ้าขืนอยู่ที่นี่ต่อเราคง..."


เรโนสังเกตเห็นคนป่วยคนหนึ่งหันมาจ้องแล้วยิ้มแบบอาฆาต เลยชวนรู้ดออกไปข้างนอก เส็งและเอเลน่าก็กลับมาพอดี

"หัวหน้า บ้านเราโดนยึดแล้ว" เรโนสรุปสถานการณ์ให้ฟัง

"เราต้องหาตัวประธานให้เจอ เขาอาจถูกพาตัวไป ไปถามชาวบ้านซิว่ารู้อะไรกันมั่ง"

"ชั้นจะไปถามคนในบ้านให้ค่ะ น่าจะเป็นมิตรกว่าพวกข้างนอก"
เอเลน่าเสนอตัวจะเข้าไปในบ้าน

"ระวังนะเอเลน่า พวกนั้นเป็นโรคนะ"

"ถ้ามันเป็นโรคติดต่อชั้นคงติดไปแล้วหละ"
เอเลน่าตอบ ซึ่งเรโนก็ไม่ได้คัดค้าน

"งั้นก็ได้"

"ไปสอบปากคำมา"
หลังสิ้นสุดคำสั่งของเส็ง รู้ดและเรโนก็แยกตัวกันเข้าไปในเมือง
 



ทั้งสองคนกลับมารายงานเส็งว่าพวกชาวบ้านที่นี่เกลียดชินระมากขนาดไหน แถมไม่มีใครรู้เรื่องรูฟัสด้วย

"สถานการณ์แบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ที่เขาจะเกลียดเรา" เส็งมองไปที่ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เขาคิดว่าต่อให้ชาวบ้านรู้ว่ารูฟัสอยู่ที่ไหนก็คงไม่ยอมบอกพวกเขา
 



รูฟัสถูกพาตัวออกจากบ้านมาได้ประมาณสองอาทิตย์แล้ว พวกชาวบ้านยึดอาวุธแล้วโปะยาสลบก่อนพาเขามายังที่ๆรูฟัสไม่รู้จัก แต่คิดว่าน่าจะเป็นบ้านพักของชายสวมแจ็คเก็ตที่ชื่อว่า"มุตเตน" ซึ่งไม่น่าจะใช่ชื่อจริง เขาถูกขังอยู่ชั้นใต้ดิน ได้ยินเสียงคนจำนวนมากที่ชั้นบน ถ้ามีผู้ลี้ภัยอยู่ที่นี่ก็คงไม่ใช่บ้านพัก แต่ไม่แน่อาจเป็นแค่พวกเพื่อนๆของมุตเตนก็ได้ รูฟัสไม่มีแผนสำรองอะไรเหลือแล้วเลยได้แต่รอให้เติร์กมาช่วย เขามองสำรวจดูรอบๆก็เห็นห้องตกแต่งเป็นสีแดง มีระดับแต่รสนิยมกลับห่วยสุดๆ มีกระทั่งเฟอร์นิเจอร์รูปครึ่งคนครึ่งมอนสเตอร์ ที่ข้อเท้ามีตรวนล็อคเขาไว้กับกำแพง พอคิดว่ามุตเตนเป็นคนแบบไหนถึงได้มีห้องไว้ขังคนโดยเฉพาะแบบนี้แล้วรูฟัสก็กลัวจนตัวสั่น

หมอแก่ๆคนหนึ่งเข้ามาตรวจร่างกายรูฟัสให้ยาแล้วก็ไป รูฟัสไม่ทันได้ถามด้วยซ้ำว่าหมอรู้รึเปล่าว่าเขาคือประธานชินระ แต่ขืนมากร่างเอาที่นี่ก็ไม่แน่ว่าจะรอดออกไป

ไม่กี่วันถัดมามุตเตนก็เข้ามาศึกษาเรื่องแผนการพัฒนามิดการ์กับรูฟัส รูฟัสอยากจะพูดว่าแผนการพัฒนาจะดีขนาดไหนก็ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เติร์กรวบรวมมาได้ แต่เขาคิดว่าถึงพูดไปพวกนี้ก็คงไม่ยอมให้รูฟัสติดต่อพรรคพวก รูฟัสบอกมุตเตนว่าเขามีข้อมูลไม่พอเลยบอกแผนให้มุตเตนฟังได้แค่บางส่วน เขาจะเริ่มด้วยการสร้างเมืองทางตะวันออกของมิดการ์ พื้นที่ตรงนั้นปรับระดับถมดินแล้ว น่าจะขึ้นเมืองใหม่ได้ไม่ยาก ส่วนวัสดุก็ไปหาจากซากเมืองมิดการ์ เครื่องจักรและอุปกรณ์ช่างก็อยู่ในคลังพัสดุเขตห้า

รูฟัสคิดว่าถ้าเขาบอกแผนพัฒนาไปหมดแล้วคงถูกฆ่าเลยพยายามถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ เขายิ้มประชดที่ชีวิตเขาตอนนี้เหมือนกับกวีที่ต้องคอยเล่านิทานให้พระราชาฟังทุกคืน ถ้านึกเรื่องจะเล่าไม่ออกเมื่อไหร่ก็ตายเมื่อนั้น

"บอกมาให้หมดเถอะ ฉันไม่ฆ่าแกหรอก"

"งั้นปลดโซ่ให้ฉันก่อนสิ ฉันไม่หนีหรอก"


เราคงไม่มีวันไว้ใจกันได้จริงๆหรอกนะ รูฟัสคิด
 


 

เติร์กรวมรวมข่าวสารได้มากมายแต่ก็ยังไม่พอที่จะรู้ได้ว่าประธานของพวกเขาอยู่ที่ไหน เส็งทำการตามหาต่ออย่างไม่ลดละ พวกเขาทิ้งบ้านในเมืองคาล์มให้พวกลี้ภัยยึดไปแล้วเอาบ้านพักพนักงานหลังหนึ่งในเขตห้าเป็นสำนักงานแทน เอเลน่าเสนอให้ช่วยกันปล่อยข่าวว่ามิดการ์จะถล่มลงมา ทำให้พวกผู้คนพากันอพยพออกไป จริงๆต่อให้ไม่มีข่าว มิดการ์ก็คงใช้อยู่อาศัยต่อไม่ได้แล้ว ทั้งเมืองเต็มไปด้วยโรคระบาดและซากปรักหักพัง แต่เส็งก็อยากให้คนออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เพราะมิดการ์เก็บความลับของชินระไว้มากมาย และถ้าพวกลี้ภัยได้อาวุธของชินระไปอาจเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นได้

"ซวยละสิ" เรโนรายงาน "กองทัพจากจูน่อนที่เหลือมายึดเอาตึกสำนักงานใหญ่ไปแล้ว พวกนั้นมีประมาณร้อยคน มีชายชื่อเกตหรืออะไรสักอย่างที่มาจากโรงเรียนทหารนี่หละ พาพวกนั้นมา"

"พวกนั้นต้องการอะไร?"

"ไม่รู้สิ เหมือนกำลังเตรียมการสร้างอะไรสักอย่างนะ"

เส็งและเอเลน่าจึงออกไปดูสถานการณ์ด้วยตัวเอง ส่วนเรโนและรู้ดออกไปป้องกันอาวุธ
 



เขตห้าเป็นที่พักอาศัยของพนักงานชินระที่สร้างติดๆกันหลายหลัง คลังพัสดุอยู่ติดกับเตาปฏิกรณ์ รอบด้านล้อมด้วยรั้วสูง มีทางเข้าทางเดียวเป็นประตูขนาดใหญ่ที่ต้องใส่พาสเวิร์ดจึงจะเปิดได้ พนักงานระดับสูงจึงจะมีพาสเวิร์ดที่สามารถเปิดประตูและแก้พาสเวิร์ดได้ รู้ดและเรโนใส่รหัสตามที่เส็งบอกและเข้ามาคลังหลักก็พบว่าคลังเปิดอยู่แล้ว

"พวกกองทัพเปิดไว้เหรอ?"

"คงอย่างนั้น"


ทั้งสองคนมุ่งไปที่คลังเขตแปดที่เก็บอาวุธอยู่อีกส่วน ขณะที่ผ่านเขตสี่ก็เห็นประตูคลังเปิดอยู่เหมือนกัน ทั้งสองคนจึงซ่อนตัวดูสถานการณ์

"เฮ้ย นั่นชาวบ้านธรรมดานี่"

มีชาวบ้านธรรมดาทั้งเด็กทั้งแก่ ทั้งหญิงชาย เดินเข้าออกคลัง

"คลังเขตสี่มีเครื่องจักรกับอุปกรณ์ก่อสร้างนี่นา"

ผู้คนพากันขนอุปกรณ์ก่อสร้างออกมาจริงอย่างที่รู้ดบอก ส่วนพวกเด็กๆก็ถือเครื่องมือเล็กๆอย่างพวกสว่านออกมา

"พวกนั้นจะทำอะไรนะ?"

พอเรโนถามจบพวกเขาก็ได้ยินเสียงโห่ร้องดังมาจากเขตห้า ดูเหมือนพวกชาวบ้านจะเปิดประตูทางนั้นออกแล้วเหมือนกัน

"แย่ละสิเรโน คลังเขตห้ามีเชื้อเพลิงสำรอง"

"มาโคเหรอ?"

"เปล่า พวกน้ำมันเบนซินที่เตรียมไว้ฉุกเฉินน่ะ เราต้องใช้นะ"

"งี้ก็เจ๋งสิ"

เรโนและรู้ดพยายามลงไปเจรจากับพวกชาวบ้านด้วยน้ำเสียงที่ไม่ฟังเหมือนการข่มขู่
"เราเป็นคนจากบริษัทชินระ ....ที่นี่ใครดูแล?"

"ชั้นเองค่ะ"
เด็กสาวแต่งตัวดีเดินออกมา ดูแล้วน่าจะเพิ่งสิบกว่าขวบ

"เอ๋?" เรโนมองด้วยความประหลาดใจนิดๆ "แล้วเธอกำลังทำอะไรกันอยู่น่ะ?" เขาพยายามพูดด้วยเสียงนุ่มๆ แต่เด็กสาวเริ่มทำหน้ากังวล

"เราได้รับคำสั่งให้มารวมอุปกรณ์ไปสร้างเมืองจาก..."

"ใครสั่ง?"

"คุณไคลีเกตจากกองทัพค่ะ"

"งั้นคนที่บอกรหัสเปิดประตูคลังก็คือไอ้ไคลีเกตนี่สินะ?"

"ค่ะ ขอโทษนะ เราทำอะไรผิดหรือเปล่า? เราได้ยินว่ากองทัพชินระเป็นอิสระจากบริษัทแล้ว พวกเขากำลังจะบูรณะเมืองขึ้นมา เราก็เลยเป็นอาสาสมัครมาช่วย"


รู้ดและเรโนมองหน้ากัน เขาอยากรู้ว่ากองทัพต้องการจะทำอะไรกันแน่ ส่วนเด็กสาวคนนี้กับพวกชาวบ้านคนอื่นคงเป็นแค่อาสาสมัครจริงๆ

"ก็ ถ้าพวกเธอมาเอาแค่เครื่องมือพวกนั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก" เรโนพูดขึ้นขณะที่รู้ดช่วยเสริม "แต่เชื้อเพลิงน่ะเอาไปเท่าที่จำเป็นนะ ต้องแบ่งกันให้ดีๆ"

"ค่ะ"

เด็กสาวกลับไปทำงานต่อ รู้ดและเรโนช่วยดูแลพวกชาวบ้านจนกระทั่งงานเสร็จ คนสุดท้ายขนเครื่องปั่นไฟออกจากประตูไป พวกอาสาสมัครกล่าวขอบคุณทั้งสองคน

"อนาคตมิดการ์น่าจะสดใสนะ"

"ก็ยังไม่แน่"

"อะไรนะ?"

"เราต้องดูแลอาวุธกับเชื้อเพลิงให้ดี เดี๋ยวต้องเปลี่ยนพาสเวิร์ดประตูคลังกับประตูหน้าให้หมดเลย"



ตกดึก เส็งและเอเลน่ามาช่วยงานพวกเรโนและรู้ด กว่าจะเสร็จก็เกือบเช้า ขณะเดินทางกลับทั้งสี่คนคิดว่าจะงีบสักพักหนึ่ง แต่ก็ถูกเวอร์ด็อทปลุกตื่นขึ้นมาก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

"คิดว่าลุงตายไปแล้วซะอีก"

"ฉันสิแปลกใจที่เติร์กหลับนานขนาดนี้"

"คือเราดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้งนะ" เรโนยิ้ม

"....."

เวอร์ด็อทเล่าเรื่องของไคลีเกตผู้แทนจากจูน่อนให้ฟัง
"ที่จริงเขาน่าจะพักร้อนอยู่ แต่กลับรวมกองกำลังมาที่มิดการ์ เช้านี้จะมีการแถลงการณ์อะไรสักอย่างที่ตะวันออกของมิดการ์ เขาจะสร้างเมืองในพื้นที่แถบนั้นแล้วก็ไปรวบรวมเครื่องไม้เครื่องมือของชินระมา..."

"เวอร์ด็อท....เอ่อ ท่าน..."
เส็งไม่รู้จะเรียกหัวหน้าเก่ายังไง "ข้อมูลของท่านช่วยยืนยันข้อมูลที่เรารู้มาได้อย่างดีเลย แต่ขอถามอย่างนะครับ ทำไมท่านถึงมาบอกเราล่ะ?"

เรโนและรู้ดไม่เข้าใจว่าทำไมเส็งต้องถามด้วย เพราะเติร์กก็เหมือนลูกๆที่เวอร์ด็อทเลี้ยงดูมากับมือ

"เหตุผลน่ะรึ....." เวอร์ด็อทหรี่ตาลง "เพื่อทดแทนบุญคุณพวกเธอไง"

"...ขอบคุณสำหรับข้อมูลมากครับ แต่ท่านไม่ได้ติดหนี้บุญคุณอะไรเราหรอกนะ"

"อะไรกันฟะ"
เรโนรำคาญเลยตัดบท "จะต้องรู้เหตุผลเรื่องการบอกข้อมูลหรือเรื่องทดแทนคุณอะไรนั่นทำไม? ใครสนใจล่ะ? ฉันก็แค่...."

"แค่อะไร?"
เส็งให้พูดต่อ แต่เรโนเงียบลง

พอได้ยินเรโนบอกแบบนี้แล้วเวอร์ด็อทก็พูดขึ้น
"เรโน สำหรับฉัน เติร์กก็เป็นเหมือน..." แต่เวอร์ด็อทก็พูดไม่ออกเหมือนกัน ทั้งกลุ่มพากันเงียบจนเรโนต้องพูดขึ้นเหมือนสำนึกผิดที่ว่าแบบนั้นไป

"เมื่อวานมีอาสาสมัครมาเอาอุปกรณ์ไปจากคลัง" เรโนพูดเป็นการเป็นงานเพื่อกลบเกลื่อนความอายที่เมื่อกี้เผลอระเบิดอารมณ์ออกมา

"แต่ทหารไม่น่ารู้พาสคีย์นี่นา" รู้ดสงสัย

"เรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังแน่ๆ ตอนที่ทหารไปพักร้อนที่คาล์ม เขาได้พาสคีย์ที่ไม่ควรจะได้มา เขาไปเอามาจากไหนกันนะ? แล้วประธานหายตัวไปไหนกัน?"

พอได้ยินเวอร์ด็อทบอกแบบนี้ทุกคนก็พากันลุกขึ้นขณะที่เส็งบอกให้คนอื่นๆใจเย็นลงก่อน
"ไคลีเกตเป็นคนแบบไหน?"

เวอร์ด็อทให้ข้อมูลเกี่ยวกับไคลีเกตเท่าที่เขารู้ เขาเติบโตในครอบครัวที่มีฐานะดี แต่หลังจากสูญเสียพ่อแม่แล้วเขาก็ขึ้นมาเป็นหัวหน้าครอบครัว ที่จริงด้วยฐานะระดับเขาแล้วเขาไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมกองทัพของชินระก็กินอยู่สบาย แต่เขาต้องการช่วยกำจัดศัตรูของชินระและพาความสงบสุขมาสู่โลก ความสามารถทางการรบของไคลีเกตสูงสมศักดิ์ศรีทหาร แต่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการกระทำของเขาอยู่บ่อยครั้ง

"โหดเหี้ยมทารุณทั้งในสนามซ้อมและสนามรบ เขามักทำเกินกว่าเหตุอยู่เสมอ ลือกันว่าที่เขาร่วมกองทัพก็เพื่อสนองตัญหาชอบความรุนแรงของตัวเองด้วย"

"อืม แล้วท่านพอจะรู้ไหมว่าประธานอยู่ที่ไหน?"

"...อยู่ในคาล์ม ที่คฤหาสน์ของไคลีเกต"

ก่อนเวอร์ด็อทจะพูดจบ รู้ด, เรโน และเอเลน่าก็รีบออกจากห้องแต่เรโนหันมาถาม

"แล้วเติร์กคนอื่นๆล่ะ? ถ้าพวกนั้นยังอยู่คงช่วยได้เยอะเลย"

"พวกนั้นกระจายกันออกไปรวบรวมข้อมูลจากทั่วโลกน่ะ แล้วก็ใช้ชีวิตส่วนตัวไปด้วย ที่เรามารวมตัวกันวันที่เกิดเมเทโอนั่นเพราะเรารู้สึกแบบเดียวกัน ตอนนี้เราบังคับให้พวกเขามารวมตัวกับเราไม่ได้หรอก"


เรโนไม่ค่อยพอใจที่ได้ยินเวอร์ด็อทพูดแบบนี้ แต่ก็ไม่ว่าอะไรก่อนจะเดินออกไป

"แล้วท่านเวอร์ด็อทมีแผนจะทำไงต่อครับ?" เส็งถามขึ้นขณะกำลังจะเดินออกจากประตูตามพวกลูกน้องไป

"ฉันจะไปที่จูน่อน รีฟก็กำลังไปที่นั่น"

"น่าแปลก"

"นั่นสิ ไม่ใช่แค่รีฟนะ คนอื่นๆกำลังทำอะไรกันอยู่ฉันก็เดาใจไม่ออก"

"แต่เติร์กไม่เหมือนพวกนั้น รวมทั้งคนอื่นที่มารวมตัวกันในคืนนั้นด้วย พวกเขาเชื่อฟังคุณ"

"ยังมีคนที่ฉันไม่เข้าใจอีกเยอะ"
เวอร์ด็อทเดินผ่านเส็งไปที่ประตู "ฝากดูแลประธานด้วยนะ"


พอเวอร์ด็อทออกไปแล้วเส็งพูดกับตัวเอง
"ผมอยากให้ท่านคอยเฝ้ามองตอนผมออกไปทำภารกิจเหมือนเมื่อก่อนนะท่านเวอร์ด็อท..."
 


 

มุตเตน ไคลีเกตอัดใส่รูฟัสสามหมัด

"ก็ไม่รู้จะให้บอกได้ไงเล่า!"

"บอกพาสคีย์ใหม่มาเดี๋ยวนี้!"

"ต้องมีคนไปเปลี่ยนแน่ๆ ฉันรู้แต่พาสฉุกเฉิน...."


มุตเตนอัดต่อโดยไม่รอให้รูฟัสพูดจบด้วยนิสัยของทหารที่ผ่านการฝึกมาอย่างโชกโชน

"แกมาจากกองทัพสินะ"

"ที่จริงเราก็เคยเจอกันหลายครั้งแล้ว แต่สำหรับแก ฉันคงเป็นแค่จุดเล็กๆจุดนึงในกองทัพนั่นหละ"

"....ขอโทษนะ"
รูฟัสขอโทษจากใจจริง ในขณะเดียวกันก็มองไปรอบๆบ้าน เขาคิดว่าถ้านี่เป็นบ้านของมุตเตนก็แสดงว่าหมอนี่รวยเอาเรื่อง เขาคงเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะดีและคงอายุมากกว่าที่เห็น จริงๆแล้วกฎของบริษัทจะไม่รับคนพวกนี้เข้ามาในกองทัพแต่ก็มักมีคนฝ่าฝืน มุตเตนไม่ใช่ทหารยศใหญ่อะไรซึ่งจากรสนิยมแย่ๆของเขาก็ไม่แปลกที่จะทำให้ไม่ถูกโปรโมท

"แกมีสุนัขรับใช้คอยตามอยู่นี่ ใช่ไหม?"

จู่ๆมุตเตนก็เปลี่ยนเรื่อง รูฟัสคิดว่าคนที่เรียกคนอื่นว่าหมายังไงก็ไม่ใช่คนดีแน่ๆ

"พวกมันอยู่ไหน?"

"ฉันถูกพาตัวมาตอนที่ลูกน้องไม่อยู่ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน"

"นั่นสินะ" ถึงจะเข้าใจที่รูฟัสบอกแต่มุตเตนก็ไม่วายชกใส่รูฟัสอีกหมัด สักพักคนใช้ของมุตเตนก็เดินเข้ามา

"มีอะไร?"

"มีแขกค่ะ"

"แขกเรอะ? ใครวะ... ช่างเหอะ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ"


ก่อนออกจากห้องมุตเตนหันมามองรูฟัส

"เช้านี้เราเริ่มก่อสร้างเมืองใหม่ ฉันไปรวมอาสาสมัครกับไอ้พวกสุนัขรับใช้มาได้เยอะเลย อยากให้แกเห็นฝูงคนที่มารวมตัวกันทางตะวันออกของมิดการ์จริงๆ คุณประธาน พวกนั้นกำลังสร้างเมืองให้ฉันอยู่ ที่จริงก็อยากให้แกเห็นนะ แต่แกทำให้ฉันต้องขังแกไว้ที่นี่"

รูฟัสรู้จากมุตเตนว่าเมืองใหม่นี้มีชื่อว่า "เอดจ์" สักพักเขาก็ได้ยินเสียงผู้ชายที่คุ้นหูตะโกนด้วยความโมโห เสียงปืนดังขึ้นตามด้วยเสียงกรีดร้องของสาวใช้ เขาได้กลิ่นอะไรไหม้แล้วก็ได้ยินเสียงคนจำนวนมากพยายามหนีกัน

รูฟัสพยายามลุกจากเก้าอี้ที่มุตเตนบังคับให้มานั่งแต่ร่างกายก็ไม่เอื้ออำนวย เขาล้มลงและได้ยินเสียงเหมือนซี่โครงตัวเองกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด รูฟัสพยายามสงบสติอารมณ์แล้วมองดูรอบๆ ต้องมีใครกำลังสู้กันแน่ๆ แล้วก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น

"ประธาน แกอยู่ไหน!"

เป็นเสียงของคนที่ชี้กระบอกปืนมาทางเขาตอนนั้น เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่พวกนั้นคงมีเรื่องกันเอง ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด เอ้า ทีนี้เอาไงดีล่ะ? คลานไปหลบใต้เตียงก่อนดีกว่า

"...."

เขารู้สึกเจ็บกระดูกที่หักอยู่จนอยากตะโกนออกมาดังๆแต่ก็ต้องกัดริมฝีปากฝืนไว้ จะทำไงดีนะ? ถ้าหมอนั่นเห็นโซ่ที่ล่ามเท้าเราอยู่มันต้องรู้แน่ๆว่าเราซ่อนอยู่ตรงนี้ รูฟัสม้วนตัวไปเห็นตะขอและแส้แขวนอยู่ปลายเตียงก็รู้สึกแหยงเจ้าพวกนี้เข้าไปอีก รูฟัสหยิบมาอันหนึ่งกำไว้แน่น


"ประธาน!"

ชายคนหนึ่งถีบประตูเข้ามาในห้อง รูฟัสที่หลบอยู่ใต้เตียงเห็นแต่บูท พอชายคนนี้เดินเข้ามาที่เตียงก็เตะเอาโซ่ที่ล่ามกับเท้าของรูฟัสอยู่

"อ้อ ไปหลบใต้เตียงเรอะ"

เข้ามาอีกเซ่ เข้ามาใกล้ๆให้ฉันเห็นหน้านี่

รูฟัสเห็นปลายกระบอกปืนสีเงินที่ชายคนนี้ถือมาห้อยลงมาหน้าเขาก็รีบคว้าปืนไว้ด้วยมือซ้ายแล้วกระชากเข้ามา

"ทำอะไรของแกฟะ!"

เสียงปืนดังขึ้น ความเจ็บปวดแล่นผ่านแขนซ้ายเข้ามาจนรูฟัสต้องปล่อยมือ เขาสไลด์ออกมาจากใต้เตียงม้วนตัวเตะชายถือปืน
"อ้าก!" รูฟัสยืนขึ้นฟาดแส้ใส่ โชคดีที่ปืนตกลงมาใกล้มือเขาพอดี รูฟัสหยิบปืนขึ้นมาส่องหน้าชายคนนั้น

"ฉันชนะ"

แต่ควันก็เข้ามาเต็มห้อง

"ไอ้ประธานบื้อเอ๊ย! ไฟไหม้อยู่นะเว้ย! แกอยากโดนย่างสดเรอะ? ไอ้ปืนนั่นช่วยอะไรแกไม่ได้หรอก"

รูฟัสเปลี่ยนใจไม่ยิงชายคนนี้แล้วพยายามกล่อมให้ชายคนนี้เชื่อฟังเขา

"นายฆ่ามุตเตนเรอะ?"

"เออสิ หมอนั่นมันทำอย่างกับฉันเป็นขี้! ทั้งที่มันโตมากับฉันแท้ๆ!"

"อืม เพราะแบบนี้นี่เอง"

"อย่ามาหลอกเอาฉันไปเป็นพวกซะให้ยาก ฉันยังไม่ลืมที่แกทำเหมือนฉันเป็นไอ้โง่ตอนอยู่ที่บ้านนั่นนะเว้ย!"

กรรมสนองแล้วไง รูฟัสคิด เขาไม่คิดมาก่อนว่ารูปการณ์จะออกมาเป็นแบบนี้ ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้นอีก ชายคนนี้ล้มลง รูฟัสคิดว่าเขาคงเผลอยิงออกไป แล้วก็มีคนเดินเข้ามาในห้อง
 



"หัวหน้า!"

ผู้อพยพชาวมิดการ์ที่เข้ามายังคาล์มพากันหนีออกจากแมนชั่นของไคลีเกต เติร์กสี่คนที่เดินทางมาถึงที่นี่เห็นแมนชั่นระเบิดและพังลงต่อหน้าก็รีบเข้ามาถามเรื่องรูฟัสจากพวกผู้ลี้ภัยและได้ยินคำที่พวกเขาอยากจะได้ยินในที่สุด

"มีคนเห็นชายวัยกลางคนหอบหนุ่มสูทขาวที่หัวกับขาพันแผลอยู่" เอเลน่าเล่าด้วยสีหน้าเป็นห่วง

"ต้องเป็นประธานแน่ๆ" เส็งพูด

"แล้วชายวัยกลางคนที่ว่านั่นใคร?" เรโนถามขึ้น

"ฉันว่าเราต้องรู้จักเขาแน่ๆ" รูดพูด

"หรือจะเป็นหัวหน้า" เรโนหรี่ตาลงเล็กน้อย "ขอใช้วิธีแบบเติร์กได้มะ? ยังไงไอ้พวกนี้ก็เกลียดชินระอยู่แล้วนี่"

"ฉันอนุญาต แต่อย่าทำร้ายพวกอาสาสมัครนะ"

"ทำไมล่ะ?"

"แผนการฟื้นฟูเมืองน่าจะเป็นความคิดของท่านประธานเอง"

 



ย้อนไปก่อนหน้านั้นเล็กน้อย ที่แมนชั่นของมุตเตน ชายวัยกลางคนกำลังเล็งปืนเข้าหารูฟัสอยู่

"เป็นไงบ้างคุณรูฟัส ชินระ?"

ชายคนนี้คือหมอคนที่ดูแลรูฟัส

"ก็ไม่ดีเท่าไหร่"

"งั้นก็ทิ้งปืนไปก่อนสิ ถือไว้อาการก็ไม่ดีขึ้นหรอก"

รูฟัสยังไม่ค่อยเชื่อใจหมอคนนี้เท่าไหร่

"หมอก็ทิ้งปืนของหมอไปก่อนสิ"

หมอชี้ปืนใส่หน้ารูฟัส รูฟัสรู้ว่าปืนนี้ขึ้นนกไว้เรียบร้อยแล้ว จึงรีบเล็งใส่หัวใจหมอแล้วยิงทันที แต่ลูกกระสุนก็ไม่ออกมา

"คุณชินระ คุณไม่รู้จักเจ้าของปืนนี้รึไง เขาเกลียดเจ้ามุตเตน มันใช้เขาทำแต่งานสกปรกแล้วตัวเองก็คอยเอาหน้า เขาลั่นไกใส่มุตเตนระบายแค้นหลายนัด แล้วนัดสุดท้ายก็ถูกใช้ไปแล้วที่ห้องนี้..."

รูฟัสมองดูศพเจ้าของปืนที่หมอบอยู่ตรงหน้าเขา
หมอนี่ไม่เคยมองอะไรล่วงหน้าเลยสินะ

"ฉันชื่อคิลมิสเตอร์ ทำงานกับบ.ชินระตั้งแต่ยังหนุ่ม ตำแหน่งที่เคยทำเทียบแล้วก็ต่ำกว่าผู้ช่วยของดร.โฮโจนิดๆน่ะ"

ลูกน้องโฮโจเหรอเนี่ย ...ชักรู้สึกไม่ดีแฮะ

"ทิ้งปืนได้แล้ว"

รูฟัสจำต้องทำตามคำสั่งหมอแล้วโยนปืนไปที่ปลายเท้าคิสมิสเตอร์ หมอหยิบขวดแก้วขึ้นมาจากกระเป๋ายื่นให้รูฟัส

"สูดนี่ซะ ฉันอยากให้แกหลับไปสักพักน่ะ ถ้าไม่ทำฉันจะยิง ฉันอยากให้แกช่วยอะไรบางอย่างเพราะงั้นตอนนี้ฉันไม่ฆ่าแกหรอก ...แต่ฉันจะทำให้แกต้องทรมาน" รูฟัสรับขวดมาเปิดออกก็ได้กลิ่นเหมือนกับกลิ่นที่มุตเตนใช้ตอนอยู่ที่บ้านในเมืองคาล์ม
 



เมื่อลืมตาตื่นขึ้นรูฟัสก็พบว่าตนเองอยู่ท้ายรถบรรทุกพร้อมคนอื่นๆอีกเก้าคน เป็นชายห้า หญิงสี่ ทั้งเก้าคนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างมีผ้าพันแผลและสภาพเหมือนเปื้อนขี้โคลน แต่พอมองดูดีๆแล้วเป็นของเหลวสีดำที่ไหลออกจากร่างกาย ท่าทางจ็บปวดทรมานจนบางคนร้องครวญครางออกมา ผู้หญิงที่ยืนข้างๆรูฟัสเซล้มลงมาซบเขา

"ขอโทษค่ะ"

"ไม่เป็นไร"

"คุณ... คุณไม่ได้เป็นโรคนี่นา"
หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด "ถ้าฉันเอาโรคไปติดคุณก็ขอโทษด้วยนะคะ"

รูฟัสกระดูกหักตอนไถลลงมาจากชั้นบนตึกชินระ จากนั้นก็ถูกคุมขังและทรมาน แถมตอนนี้เขาต้องมาเจอโรคร้ายแรงเข้าอีก พอคิดถึงเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมดแล้วเขาก็ยิ้มออกมาแห้งๆ เขาไม่อยากต้องไปเผชิญกับอะไรอีกแล้ว แต่ตอนนี้เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้

รถแล่นผ่านทางขรุขระแถมคิลมิสเตอร์ก็เหยียบคันเร่งมิดแบบไม่เกรงใจคนนั่ง รูฟัสคิดว่าเขาน่าจะแกล้งทำเป็นกระเด็นตกจากรถแล้วหนีไป แต่ก็นึกถึงคำพูดของคิลมิสเตอร์ที่บอกว่าต้องการให้เขาช่วย
ฉันคงไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าหมอนี่จะพาฉันไปไหนก็คงไม่มีที่ไหนเลวร้ายกว่าที่นี่แล้วละนะ
 


 

คิลมิสเตอร์หยุดรถหน้าถ้ำริมชายหาดหิน รูฟัสหมดสติมาตลอดทางเหมือนตอนที่ถูกพาตัวไปยังฐานลับของมุตเตนเขาจึงไม่รู้ว่าตอนนี้มาไกลจากเมืองคาล์มขนาดไหน รูฟัสมองไปตามแนวชายหาดแล้วลองกะดูว่าตอนนี้เขามาไกลขนาดไหน เขานั่งรถมาประมาณ 3-4 ชม. อีกทั้งยังบาดเจ็บอยู่ คงยากที่จะเดินเท้ากลับไป

คิลมิสเตอร์ชี้ปืนไปที่ผู้ป่วยแล้วสั่งให้ลงจากรถ จริงๆต่อให้ไม่ต้องเอาปืนมาขู่พวกเขาก็คงไม่เหลือแรงจะขัดขืนแล้ว ผู้หญิงคนที่คุยกับรูฟัสเมื่อครู่ช่วยพยุงเขาลงจากรถ รูฟัสไม่มีไม้เท้าเขาเลยต้องเกาะไหล่ผู้หญิงคนนี้ขณะเดินเข้าไปในถ้ำ

"อยากให้พวกเราหายเร็วๆจัง" ผู้หญิงพูดขึ้น รูฟัสคิดว่าเขาเองก็อยากกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมซะทีเหมือนกัน


ทางลงถ้ำชันมาก รูฟัสไต่ลงบันไดลิงยาวห้าเมตรมาอย่างยากลำบาก พอแหงนขึ้นไปก็รู้สึกปวดคอ ถ้าเอาบันไดนี้ออกไปพวกเขาไม่มีทางกลับขึ้นไปได้แน่ๆ แล้วคิลมิสเตอร์ก็เอาบันไดออกไปจริงๆ

"มีโพรงตันๆอีกเยอะ พวกแกเดินไปเลือกเอาเป็นห้องนอนของพวกแกเองแล้วกัน"

"แล้วไม่รักษาเราเหรอ?"
หนุ่มคนหนึ่งถามขึ้น

"ถ้าฉันเรียกค่อยมาหาแล้วกัน ฉันไม่ทำอะไรพวกแกหรอก" คิลมิสเตอร์ตอบเรียบๆแล้วเดินหายไป

ในถ้ำมีเตียงและชุดนอนเตรียมไว้ ผู้ป่วยแต่ละคนเข้าไปจับจองเตียงของตัวเอง ซึ่งรูฟัสก็เลือกเตียงที่อยู่ไกลที่สุดตามนิสัยของเขา สักพักเด็กผู้ชายที่อาการทุเลาลงก็เดินเอาขนมปังและชีสมาให้

"ทุกคนถูกเอาปืนขู่มาที่นี่กันหมดเลยเหรอ?" รูฟัสถามขึ้น

"เปล่าฮะ พวกเราเป็นคนไข้ที่คุณคิสมิสเตอร์ดูแลมาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาเป็นหมอประจำเมืองคาล์มน่ะ เราเชื่อว่าเขารักษาโรคนี้ได้ แล้วก็มีคนอื่นๆมาช่วยกันขนของมาที่โรงพยาบาลนี่ด้วย"

"โรงพยาบาลเหรอ?"

"ฮะ เขาต้องควบคุมโรคน่ะ คุณหมอบอกว่าต่อให้ยังอยู่ในหมู่บ้านก็ถูกคนอื่นไล่ออกมาอยู่ดี"
เด็กน้อยทำหน้าเศร้าก่อนพูดต่อ "เขาบอกว่าเขาต้องใช้ปืนเพื่อไม่ให้พวกเราหนีออกไปน่ะ"

"ฉันก็เป็นผู้ป่วยเหมือนกัน แต่... ดูท่าทางเขายังไม่ค่อยเชื่อฉันเท่าไหร่ ว่าแต่ พวกเราอยู่ที่ไหนกันรู้ไหม?"

"เขาห้ามพวกเราบอกคุณ"


ท่าทางอยู่ที่นี่ก็คงไม่สนุกเท่าไหร่แล้วแฮะ รูฟัสคิด
 



ห้องตรวจเป็นโพรงที่ดัดแปลงลวกๆแยกอยู่ภายในถ้ำ คิสมิสเตอร์เปลี่ยนเฝือกและตรวจร่างกายรูฟัสขณะที่เด็กคนที่เอาขนมปังมาให้ยืนถือปืนอยู่ด้านหลัง

"นี่หมอ การค้นคว้าวิธีรักษาเจ้าโรคนี่มีอะไรคืบหน้ามั่งไหม?"

"มีสิ"


รูฟัสเห็นคิลมิสเตอร์เหลือบไปมองเด็กผู้ชายครู่หนึ่ง

"คุณต้องการอะไรกันแน่?"

"ทำไมล่ะ? ก็ฉันเป็นหมอ ฉันก็ต้องอยากกำจัดโรคร้ายนี้ออกไปจากโลกก็แค่นั้น"

"นั่นก็ใช่ แล้วทำไมคุณต้องพาตัวผมมาที่นี่ด้วย?"

"เจโนวา"

"หา?"
รูฟัสตกใจที่ได้ยินชื่อที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน

"หลังตรวจสอบผู้ป่วยแล้วฉันเจอเซลล์แบบเดียวกับที่อยู่ในตัวพวกโซลเยอร์"

"ช่วยอธิบายหน่อยซิ"
รูฟัสเห็นคิลมิสเตอร์เหล่ไปมองเด็กผู้ชายอีกครั้ง

"ไว้มีเวลาจะเล่า"

"อย่างน้อยก็ช่วยบอกหน่อยเถอะ ว่าโรคนี้มันติดต่อหรือเปล่า?"

"ไว้มีเวลาเดี๋ยวจะบอกเอง"


คงไม่น่าจะติดต่อหรอกนะ รูฟัสคิด
 



สามเดือนผ่านไป รูฟัสถอดผ้าพันแผลและเฝือกที่คอออก คิลมิสเตอร์ส่งไม้เท้าให้รูฟัสใช้พยุงตัว

"ท่อนี่ตกอยู่แถวๆตึกชินระน่ะ"

"ตอนนี้มิดการ์เป็นไงบ้าง?"

"โรคยังแพร่ระบาดไปทั่วแต่ก็ยังมีคนทำงานขันแข็งในเมืองใหม่ทางตะวันออกอยู่"

"ใครเป็นผู้นำเหรอ?"

"จะไปรู้ได้ไง ก็มีหลายๆกลุ่มปนกันไปน่ะ เอ้อ คุณประธาน รู้อะไรเกี่ยวกับทีมล่าสังหารของชินระบ้างไหม?"


รูฟัสส่ายหน้า

"มีจดหมายถึงพวกที่บุกเข้าตึกชินระและคลังพัสดุขู่ไม่ให้ทำอีกหากไม่อยากตาย พอพวกนั้นรู้เข้าก็กลัวแล้วไม่กล้าเข้าไปอีก"

ไอ้เติร์กบ้าพวกนั้น รูฟัสเผลอยิ้มออกมา

"คุณประธาน ฉันอยากได้เครื่องมือบางอย่างของชินระน่ะ ช่วยบอกทีมสังหารพวกนั้นได้ไหม?"

"อยากได้อะไรล่ะ?"
รูฟัสถามแบบเลิกคิดที่จะซ่อนความสงสัยอีกต่อไป

"อุปกรณ์ของดร.โฮโจ"

"จะใช้รักษาพวกเรางั้นสินะ"

"ใช่ ตอนนี้ฉันอยากได้..."

"เจโนวา"

"ใช่ๆ มันอยู่ไหนแล้วล่ะตอนนี้?"

"ไม่รู้สิ ถ้าออกจากที่นี่ได้ฉันก็ว่าจะลองตามหามันดูเหมือนกัน"


คิลมิสเตอร์จ้องรูฟัสเหมือนไม่แน่ใจว่าเขาคิดอะไรอยู่

"
แล้วเราก็ต้องหาที่อยู่ใหม่ ที่นี่คงไม่เหมาะจะทำงานวิจัยหรอก"

งานวิจัยเรอะ...

"คุณคิลมิสเตอร์ คุณเป็นหมอหรือนักวิทยาศาสตร์กันแน่"

"การรักษาจบแค่นี้หละ"
คิลมิสเตอร์ไม่ยอมตอบคำถามแต่ควักปืนออกจากเสื้อโค้ทจ่อมาที่หน้ารูฟัส


หลังจากนั้นรูฟัสเริ่มทำกายบำบัด แรกๆตอนเดินเขายังรู้สึกเจ็บอยู่ แต่ต่อมาก็สามารถเดินไปเดินมารอบถ้ำได้ดังใจ เขามองเข้าไปในห้องก็เห็นห้องว่างหลายห้อง เด็กคนที่เอาขนมปังมาให้เขาตายแล้ว ตอนนี้เหลือชายสามหญิงสอง สรุปว่าตายไปแล้วสี่คน

เขาได้ยินเสียงผู้หญิงคนที่คุยกับเขาบนรถร้องด้วยความเจ็บปวด มีชายคนหนึ่งเฝ้าอยู่ด้วยสีหน้าเป็นห่วง เขาบอกรูฟัสว่า
"หมอบอกว่ายามีไม่พอ เลยลดยาที่ให้กับพวกเราครึ่งหนึ่ง ผมก็ให้ยาของผมกับเธอไปแล้วแต่ก็ยังไม่พออยู่ดี"

รูฟัสคิดว่าเรื่องแบบนี้เขาเองก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ไม่สิ รูฟัสเดินออกไปตะโกนเรียกคิลมิสเตอร์ ไม่นานชายสวมโค้ทขาวก็โผล่หัวมาหน้าโพรงถ้ำด้วยท่าทางหงุดหงิด

"พวกเขาบอกว่ายาไม่พอ"

"ใช่ ยาที่ฉันมีอยู่เดี๋ยวก็หมดแล้วเหมือนกัน"

"แกมียาเรอะ?"


หมายความว่าหมอเองก็เป็นโรคนี้อยู่เหมือนกันเหรอ?

"รอเดี๋ยวนะ" คิลมิสเตอร์เดินไปหยิบบันไดมา "ปีนขึ้นมาได้ไหม?"

รูฟัสเห็นว่าเป็นโอกาสดีที่จะหนีแล้ว เขาค่อยๆปีนขึ้นมาถึงด้านบนแต่ปืนของคิลมิสเตอร์ก็จ่อหน้าอยู่

"ขอคุยกันก่อน"

พอมองดูดีๆหน้าของคิลมิสเตอร์ซีดเผือกเหงื่อไหลเป็นทาง
"ดูท่าทางอาการไม่ค่อยดีแล้วนะหมอ"

"ฉันอยากได้ยา"

"ยาอะไร?"

"แบ่งยาของพวกแกให้ฉันบ้างสิ"


ดูท่าทางยาที่หมอให้จริงๆแล้วก็คือยากระตุ้นของพวกโซลเยอร์ที่เจือจางมานิดหน่อยแล้ว

"ถึงจะรักษาโรคไม่ได้แต่ก็ช่วยบรรเทาอาการลงได้ละนะ"

"ตกลงที่รักษากันอยู่ก็ใช้วิธีนี้เองรึ?"

"ฉันไม่ได้หลอกพวกนั้นซักหน่อยนี่ ก่อนอื่นก็ต้องรู้สาเหตุของโรคก่อน ถึงจะควบคุมได้"

"แกติดโรคแล้วเหรอ?"

"เปล่า"
คิลมิสเตอร์บอกว่าเขาใช้ยากระตุ้นเพื่อให้ทำงานได้ทั้งวันทั้งคืน

"แต่แกอาจเสพย์ติดยานี่ได้นะ" รูฟัสยิ้มเหมือนตอนนี้เขาถือไพ่เหนือกว่าแล้ว "แกมีโทรศัพท์ไหม? หรือปากกากับกระดาษก็ได้"

"แกจะติดต่อหาใคร?"

"ทีมสังหารของชินระไง พวกนั้นรู้ว่ายากระตุ้นของชินระถูกเก็บไว้ที่ไหน?"


แววตาของคิลมิสเตอร์เบิกโพลงแต่เขาก็ต้องพยายามคุมสถานการณ์ให้อยู่หมัด เขาสั่งให้รูฟัสไต่บันไดกลับลงไปในถ้ำ ก่อนโยนปากกาและกระดาษลงมา รูฟัสเขียนแค่เรื่องยากระตุ้นโดยไม่ได้เขียนอย่างอื่น เพราะตอนนี้เขาต้องทำให้คิลมิสเตอร์เชื่อใจเขาเสียก่อน และเชื่อว่าเติร์กจะรับมือเรื่องอื่นเอง

เขาบอกคิลมิสเตอร์ให้ไปที่ตึกชินระแล้วตะโกนเรียกเติร์กทีมสังหารเพื่อส่งโน้ตให้ ซึ่งก็น่าจะเอายากลับมาได้ภายในสามวันพร้อมกับพวกเติร์กและหมอดีๆ แต่หลังคิลมิสเตอร์ถือโน้ตเข้าไปในมิดการ์แล้วก็ไม่กลับมาอีกเป็นสัปดาห์แล้ว พวกเติร์กเองก็ไม่มา อาหารก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว

รูฟัสเริ่มคุ้นเคยกับถ้ำแห่งนี้ก็เดินสำรวจดูรอบๆเพื่อฆ่าเวลา ผู้หญิงคนนั้นอาการเริ่มหนักขึ้นจนไม่รับรู้อะไร ส่วนชายคนที่เฝ้าอยู่ก็ล้มป่วยหนักเช่นกันแต่ก็ยังกุมมือเธอไว้แน่นรอคอยเพียงปาฏิหารย์

"คิลมิสเตอร์ต้องกลับมาแน่" รูฟัสบอกทั้งสองคนทั้งที่ไม่มีหลักประกันอะไร ทำไมเราถึงต้องพูดแบบนี้กันนะ?


ข้างนอกฝนตกติดต่อกันหลายวัน จนน้ำเริ่มเอ่อเข้ามาในถ้ำ ทั้งจากปากถ้ำและบนเพดาน ในถ้ำมีช่องให้น้ำไหลเข้ามาเหมือนเปิดก็อก ฝนตกมาตั้งหลายวันทำไมมันเพิ่งจะรั่วเข้ามากันนะ? มันต้องไปสะสมอยู่ตรงไหนก่อนแน่ๆ แต่ยังไงเราก็ต้องรีบออกจากที่นี่กันก่อน รูฟัสเตือนคนอื่นๆก่อนจะเดินไปที่ปากถ้ำ

เขาแหงนมองขึ้นไปด้านบนทั้งที่คอยังไม่หายดีแต่ไม่เห็นคนผ่านมาแถวนี้ มีเพียงเสียงฝนพรำ เขาคิดว่าถ้าน้ำเข้ามาเต็มถ้ำเขาคงว่ายน้ำออกไปจากที่นี่ได้

"ก็คงทำได้แค่นั้นละนะ...."

เขากลับไปบอกให้คนอื่นๆเตรียมอพยพแต่ไม่มีใครตอบเพราะอาการเจ็บปวดที่รุมเร้า

"ห้าคนสินะ..." รูฟัสตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง เขาแบกคนป่วยที่อยู่ไกลที่สุดมาที่ปากถ้ำ บรรดาคนป่วยต่างซูบผอมไปมาก ทำให้รูฟัสแบกมาที่ปากถ้ำไม่ลำบากนักแม้เขาเองจะยังไม่หายดีก็ตาม

น้ำเอ่อมาถึงข้อเท้า รูฟัสรีบมองหาของที่จะใช้เป็นทุ่นลอย เขาเห็นเตียงไม้ลอยน้ำมาเลยแยกเอาส่วนที่เป็นโลหะออก แล้วลากเตียงหลายตัวมาที่ทางออก ก่อนจะเดินกลับไปหาผู้ป่วย

"ใครว่ายน้ำได้ก็ว่ายนะ ส่วนคนที่ว่ายไม่ได้ก็มาจับแผ่นไม้นี่ แผ่นละคนเท่านั้นนะ"

ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาน้ำขึ้นมาถึงคอรูฟัสขณะที่ผู้ป่วยทั้งหมดพากันไปเกาะแผ่นไม้ ก็ทำเท่าที่จะทำได้แล้วละนะ รูฟัสแหงนมองขึ้นไปแล้วสติก็เลือนรางลง เขาเกาะแผ่นไม้ขณะที่น้ำสูงขึ้นเรื่อยๆเหลืออีกเพียงหนึ่งเมตรจะถึงทางออกแต่สถานการณ์ก็แย่ลงไปอีก น้ำหยุดไหลเข้าถ้ำทำให้ระดับน้ำไม่สูงขึ้น ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฝนหยุดตกหรือภูมิศาสตร์ของถ้ำกันแน่ รูฟัสกัดริมฝีปากให้มีสติไว้ ตอนนี้เขาทำได้แค่รอให้คนมาช่วย เขาหันไปมองคนอื่นๆก็เห็นว่าเหลือแค่ชายสองคนหญิงหนึ่งคน ผู้หญิงคือคนที่คุยกับเขาบนรถ เธอเกาะอยู่บนแผ่นไม้ที่ลอยมาทางเดียวกับอีกแผ่นที่มีผู้ชายคนหนึ่งเกาะอยู่ รูฟัสไม่แน่ใจว่าเธอยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า แต่พอเห็นเธอร้องด้วยอาการเจ็บปวดเขาก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

ผ่านไปหลายชั่วโมงสถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น น้ำไม่สูงขึ้นและไม่ลดลง เขาอยู่ในน้ำมานานทำให้อุณหภูมิร่างกายลดต่ำลงมาก คงทนได้อีกไม่นานแล้ว

"อะไรนะ?"

รูฟัสรู้สึกเหมือนมีคนเรียก แต่มองดูรอบๆก็รู้สึกว่าคนอื่นๆคงไม่มีแรงพอจะออกเสียง เขามองดูน้ำรอบๆก็เห็นเงาดำๆค่อยๆพุ่งเข้าหารูฟัส เขาไม่แน่ใจว่าเป็นของเหลวสีดำที่ไหลออกจากร่างผู้ป่วยคนอื่นหรือเปล่า

เงาดำเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต รูฟัสตีน้ำไม่ให้มันเข้ามาใกล้แต่ก็ไม่ได้ผล สูทขาวของเขาถูกของเหลวย้อมจนดำ จริงๆมันสกปรกจนไม่น่าจะเรียกว่าสูทขาวแล้วแต่รูฟัสคิดว่าหลังจากออกจากที่นี่ได้แล้วเขายังจำเป็นต้องใช้ชุดนี้อยู่ ตอนนี้แขนเสื้อถูกย้อมเป็นสีดำไปแล้ว
จบกัน

ของเหลวสีดำเคลื่อนขึ้นไปถึงคอรูฟัสเหมือนพยายามจะเข้าไปในปาก รูฟัสจึงปิดปากไว้แน่น มันจึงเลื้อยไปที่จมูก รูฟัสเอื้อมมือมาอุดจมูกตัวเองไว้ เขาหายใจไม่ออก แต่ก็ไม่ยอมแพ้ไอ้ของเหลวนี่ มันเคลื่อนเข้าไปในหูรูฟัสได้สำเร็จ เขาร้องออกมาก่อนจะสลบไป
 


 

"คุณประธาน! คุณประธาน!"

พอรูฟัสได้ยินเสียงคนเรียกก็ตื่นขึ้น

"น้ำท่วมนั่นถือเป็นคราวซวยจริงๆ ขอโทษนะที่ฉันกลับมาช้า" คิลมิสเตอร์เลื่อนบันไดลงมา รูฟัสเองก็แปลกใจที่เขายังมีชีวิตอยู่ขณะที่เอื้อมไปจับบันได พอหันกลับไปมองข้างหลังก็เห็นว่าผู้ป่วยเหลือแค่ชายหนึ่งคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน

"ทั้งสองคนเป็นอะไรหรือเปล่า?"

ผู้ชายเงยหน้าขึ้นมา

"เรารอดแล้ว!"

เขาตะโกนเรียกผู้หญิงซึ่งเธอผงกหัวนิดๆตอบรับเสียงเรียก รูฟัสเอื้อมมือไปหาแต่ก่อนที่ผู้หญิงจะจับมือรูฟัสลูกปืนก็วิ่งเฉี่ยวหัวทั้งสองคนไป เธอผละตกจากแผ่นไม้แล้วจมน้ำลงไป


"พาเมล่า!"

ผู้ชายตะโกนเรียกผู้หญิงก่อนกระโดดตามลงไป แต่เขาไม่เหลือเรี่ยวแรงจะว่ายน้ำแล้ว รูฟัสจึงต้องรีบคว้ามือไปดึงตัวเขากลับขึ้นมาบนแผ่นไม้อีกรอบ

"พาเมล่า..."

ผู้ชายอยากร้องไห้แต่ก็ไม่เหลือแรงจะร้องออกมา รูฟัสดึงผู้ชายมาจับบันได

"ขึ้นไป"

"แต่ว่า..."

"ตอนนี้คิดแค่เรื่องรอดชีวิตออกไปก็พอ"

ผู้ชายนิ่งอยู่พักหนึ่ง เขามองผืนน้ำจุดที่พาเมล่าจมลงไปแล้วหันขึ้นไปมองคิลมิสเตอร์ด้วยสายตาเคียดแค้น รูฟัสก็เพิ่งรู้ว่าชายคนนี้รู้ชื่อเธอด้วย

"ฉันก็แค่ช่วยให้พาเมล่าไปสบายเท่านั้นเอง เธอไม่โกรธแค้นฉันหรอก"

ก็ใช่ ที่เราคงช่วยอะไรเธอไม่ได้แล้ว แต่ทำไมแกไม่คิดถึงชายคนนี้บ้างล่ะ?

"นายชื่ออะไร?" รูฟัสถามผู้ชายขณะที่เขากำลังไต่บันไดขึ้นไป

"จู๊ด"

"ยังไม่ถึงเวลาหรอกจู๊ด ปล่อยฉันจัดการคิลมิสเตอร์เอง"

จู๊ดปีนขึ้นไปโดยไม่ตอบอะไร รูฟัสปีนตามขึ้นไปแต่สักพักก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นผ่านไปทั่วร่าง มีบางอย่างไหลออกมาจากปากเขา พอเอามือป้ายดูก็พบว่าเป็นของเหลวสีดำเหมือนกับที่ไหลออกมาจากร่างของพาเมล่าและจู๊ด

"โถๆ แกเองก็ต้องใช้ยากระตุ้นแล้วนะคุณประธาน" คิลมิสเตอร์พูดเหมือนสะใจ

"อั่ก..."

ไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงคิลมิสเตอร์ร้องแล้วยิงปืนมั่วไปโดนผิวน้ำ พอแหงนมองขึ้นไปก็เห็นจู๊ดกำลังบีบคอเขาอยู่
ไอ้งั่งจู๊ดเอ๊ย! ก็บอกแล้วไงว่าอย่าเพิ่ง!

"ว้ากกกก!"

จู๊ดตะโกนออกมาด้วยความแค้นพร้อมกับรูฟัสที่ร้องอย่างเจ็บปวดด้วยโรคแต่ก็ยังจับบันไดไว้แน่น



"มาช้าจังนะ"

"ขอโทษทีครับ"
เรโนยิ้ม
 



รีสอร์ทริมผาเป็นที่ๆชินระสร้างไว้ตั้งแต่สมัยที่บริษัทเพิ่งตั้งใหม่ๆเพื่อเป็นที่พักฟื้นพนักงาน แต่คนส่วนใหญ่ชอบทะเลมากกว่าภูเขาที่นี่จึงถูกทิ้งร้าง เรือนไม้หลายหลังยังคงอยู่ในสภาพเหมือนตอนเพิ่งสร้าง พวกรูฟัส, เส็ง, เอเลน่า, เรโน, รู้ด, คิลมิสเตอร์ และจู๊ดแบ่งนั่งรถสองคันมาถึงที่นี่ คนติดโรคจำนวนมากถูกพามารวมตัวกันที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนป่วยของคิลมิสเตอร์ที่เติร์กพาออกมาจากเมืองคาล์ม รูฟัสเห็นภาพนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ เส็งจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
 



เมื่ออาทิตย์ก่อนคิลมิสเตอร์มาที่สำนักงานใหญ่แล้วตะโกนเรียกพวกเขา ตอนนั้นมีเรโนและรู้ดทำหน้าที่ลาดตระเวนอยู่ คิลมิสเตอร์บอกว่ามีโน้ตมาจากรูฟัสชินระ ทั้งสองไม่ได้ยินข่าวเรื่องประธานมานานมากแล้วเลยออกจากที่ซ่อนมาหาคิลมิสเตอร์ จดหมายเขียนไว้ว่า "เอายากระตุ้นที่มีทั้งหมดให้หมอคนนี้" แต่พวกเขาไม่เข้าใจข้อความและไม่แน่ใจว่ามาจากรูฟัสจริงหรือเปล่า เลยบอกให้มาใหม่วันต่อมา จากนั้นรู้ดก็พาคิลมิสเตอร์เข้ามาที่ฐานทัพเติร์กในเขตห้าเพื่อหารือกับเส็ง

เส็งรู้ว่าเป็นลายมือของประธาน แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก เขาเลยส่งยากระตุ้นให้เพื่อสะกดรอยตาม

เรโนตามคิลมิสเตอร์มาถึงเมืองคาล์มซึ่งโรงพยาบาลเล็กๆในเมืองแห่งหนึ่งถูกใช้เป็นบ้านของผู้ลี้ภัยเพราะไม่มีหมอมาที่นี่กว่าครึ่งปีแล้ว คิลมิสเตอร์เป็นหมอประจำที่นี่ ซึ่งพวกคนป่วยในคาล์มก็พากันดีใจที่หมอกลับมาและต่างร้องขอความช่วยเหลือ เรโนเห็นคิลมิสเตอร์ตรวจร่างกายให้ผู้ป่วยด้วยท่าทางย่ำแย่แล้วก็คิดว่าหมอคนนี้ก็คงป่วยเหมือนกัน

วันต่อมาคิลมิสเตอร์กลับมาที่ทางเข้าตึกชินระก็พบกล่องที่ใส่ยากระตุ้นอยู่เต็ม เขาเปิดมาขวดหนึ่ง เจือจางด้วยน้ำจากขวดแก้วที่เขาเตรียมมาแล้วดื่ม เขานอนลงกับพื้นแบบไม่สนใจเติร์กที่มองอยู่ เขาขอให้เติร์กรอยาออกฤทธิ์ซึ่งเติร์กไม่มีทางเลือกเพราะมีเพียงคนๆนี้ที่รู้ที่อยู่ของประธาน

หลังจากอาการดีขึ้นแล้ว คิลมิสเตอร์ถือว่าตัวเองกุมชีวิตของประธานอยู่ก็สั่งให้เติร์กขนกล่องยากระตุ้นออกจากมิดการ์และถามเส็งถึงสิ่งอำนายความสะดวกที่เขาสามารถเอามาใช้ได้ เขาอยากได้ที่ห่างไกลฝูงชนแต่เดินทางไม่ไกลมากนัก และใหญ่พอที่จะรองรับผู้ป่วยจำนวนมากของเขาได้ เขาบอกว่าอยากใช้เป็นที่ศึกษาเกี่ยวกับโรคนี้เพื่อมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ พอเห็นเติร์กทำท่าไม่ค่อยจะเชื่อเขาก็เล่าสถานการณ์ปัจจุบันและอาการเจ็บป่วยของรูฟัสให้ฟัง ซึ่งรายละเอียดของอาการก็ถูกต้องตามที่เติร์กรู้ทำให้พวกเขาเชื่อ และคิลมิสเตอร์ยังเล่าถึงบุญคุณตอนที่เขาช่วยพารูฟัสออกจากคฤหาสน์ของมุตเตนด้วย พอถูกถามว่าทำไมไม่เล่าตั้งแต่ทีแรกเขาก็บอกว่าอยากรักษาภาพลักษณ์ของท่านประธานไว้บ้าง

เส็งนึกถึงที่พักริมผาได้ก็พาคิลมิสเตอร์ไปที่นั่น ซึ่งคิลมิสเตอร์ก็ชอบสถานที่นี้และสั่งให้เติร์กพาคนป่วยมาที่นี่ เติร์กก็ไม่พอใจที่ถูกจิกหัวใช้เหมือนกับพวกเขาเป็นคนไข้ที่เสพย์ติดยากระตุ้นของหมอนี่ แต่ถ้าไม่ทำทุกอย่างให้เรียบร้อยคิลมิสเตอร์ก็จะไม่บอกว่าประธานอยู่ที่ไหน พวกเขาจึงต้องทำตามอย่างเสียไม่ได้ พวกเขาต้องเดินทางไปกลับระหว่างคาล์ม-บ้านพักริมผาหลายรอบ คิลมิสเตอร์รู้สึกพึงพอใจที่ตัวเองเหมือนได้เป็นหัวหน้าเติร์กและตกลงยอมพาพวกเขาไปพบประธานในที่สุด

พวกเติร์กมาถึงที่อยู่ของรูฟัสหลังคิลมิสเตอร์เพราะเรโนหลงกับรถบรรทุกของหมอระหว่างทางมาที่ฝนตกหนักและน้ำท่วมหลายแห่ง ซึ่งเรโนแก้ตัวว่าถึงจะไม่มีรถนำเขาก็ใช้เซนส์คลำทางมาจนเจอรูฟัสได้เอง
 



รูฟัสพักฟื้นในบ้านพักริมผาเหมือนผู้ป่วยคนอื่นๆ และใช้ยากระตุ้นระงับความเจ็บปวดจากโรคนี้ ช่วงที่อาการดี พวกเติร์กที่ออกจากกะจะมาคุยกับเขาถึงเรื่องแผนต่างๆในอนาคต

"แล้วกลางเมืองใหม่ตอนนี้เป็นอะไรน่ะ?" รูฟัสถามเรโนทันทีที่นึกออก

"อืม...พลาซ่าครับ เป็นพลาซ่าเปล่าๆไม่มีอะไรตั้งอยู่ รอบๆมีถนนหลายเส้นและมีเส้นนึงตัดตรงเข้ามิดการ์"

"งั้นไปสร้างอะไรไว้สักหน่อยสิ เอาเป็นอนุสาวรีย์แล้วกัน"

"อนุสาวรีย์อะไรดีล่ะครับ?"

"อนุสาวรีย์ที่ระลึกตอนที่ดวงดาวผลักเมเทโอออกไปได้ เอาให้เด่นสะดุดตาเลยนะ"

"เอาเด่นๆเลยเหรอ? เพื่ออะไรกัน?"

"แสดงตัวตนของพวกเราไง"

"อ้อ! ตั้งมันไว้กลางเมืองเพื่อให้คนอื่นๆรู้ว่านี่คือเมืองของชินระสินะ! ไอเดียเจ๋งเลยครับบอส!"
เรโนตอบ
 



ยังคงมีคนมาเรียกร้องให้ชินระรับผิดชอบผลที่เกิดจากเมเทโออยู่เรื่อยๆ แต่พอชินระแบ่งเครื่องมืออุปกรณ์, เชื้อเพลิงและยารักษาโรคให้ ก็ทำให้ผู้คนมองชินระในแง่ดีมากขึ้น รีฟอดีตพนักงานชินระคนหนึ่งขนกำลังคนและอุปกรณ์จากจูน่อนมาเป็นกำลังสำคัญในการสร้างเมืองขึ้นมา ถึงตอนนี้รีฟจะอยู่ฝั่งต่อต้านชินระเต็มตัว แต่พวกเติร์กและอดีตพนักงานของชินระตอนนี้ต่างก็กำลังทำเพื่อสังคม เขาเลยไม่เข้าไปขัดขวางอะไร

เรโนร่วมกับอาสาสมัครอีกหลายคนช่วยกันสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นมาซึ่งผู้คนต่างก็อยากให้มีสัญลักษณ์ที่ใจกลางเมืองอยู่แล้ว ถึงจะมีบางคนประท้วงเพราะรู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการสร้างอนุสาวรีย์นี้แต่เรโนก็ใช้ "วิธีการของเติร์ก" ทำให้พวกนั้นเงียบไปเอง

จำนวนผู้ป่วยที่บ้านพักริมผามีเพิ่มบ้างลดบ้าง แต่บรรยากาศก็ยังอยู่กันอย่างสงบเงียบ วันหนึ่งยากระตุ้นในคลังใกล้หมดเพราะเอเลน่าที่ใกล้ชิดกับคนในท้องที่มากที่สุดเสนอให้แบ่งยากระตุ้นให้คนอื่นๆด้วยซึ่งรูฟัสก็อนุญาต คิลมิสเตอร์โมโหมาก รูฟัสจึงสั่งให้เติร์กไปหาตัวคนที่รู้สูตรยาเพื่อเตรียมยาเพิ่มแต่ต้องคิดชื่อใหม่ การเตรียมยาคงต้องใช้อุปกรณ์ของชินระและถ้าจำเป็นก็คงต้องติดต่อรีฟด้วย แต่คิลมิสเตอร์ไม่อนุญาต เขาอยากให้เก็บทรัพยากรทั้งหมดไว้ใช้เฉพาะในบ้านพักริมผาเท่านั้น เส็งและคนอื่นๆไม่พอใจคำสั่งของหมอขี้ยาคนนี้แต่รูฟัสบอกให้ทนไว้ก่อน วัตถุดิบสำหรับทำยาคือหางของหมีนีเบล พอรู้ว่าถ้าสารที่สกัดออกมาได้มีความเข้มข้นสูงหนึ่งหางจะสามารถสกัดยากระตุ้นได้เยอะ เอเลน่าก็รีบออกไปหาวัตถุดิบทันที

"เฮ้ย รู้ด" เรโนตะโกนเรียก "ทำไมหัวหน้าต้องดีกับไอ้คิลมิสเตอร์ขนาดนั้นด้วยฟะ?"

"สงสัยจะรอผลการวิจัยอยู่ละมั้ง"

"วิจัยอะไรฟะ? เสียเงินตั้งเยอะแยะเพื่อทำยาแก้ปวดแบบนี้ตูทำเองก็ได้ว้อย"

"ฉันให้ตัวอย่างเซลล์ที่แข็งแรงดีของฉันไปแล้ว เดี๋ยวก็คงวิจัยพบอะไรดีๆละน่า"

"ฉันอยากตรวจสอบดูเองจริงๆ มีคนป่วยอยู่รอบตัวเราขนาดนี้ทำไมเราไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ว่ามะ?"


"บอสบอกว่าโรคนี้ไม่ติดต่อนี่" รู้ดพูดพลางแย็บท้องเรโนเบาๆเพราะเห็นเรโนยังทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอยู่ "ไปออกแรงกันไหมเพื่อน?"

"ทำไม?"

"ถ้าเราฝึกร่างกายและจิตใจให้เข้มแข็งไว้ ไอ้โรคนี้ก็ทำอะไรเราไม่ได้หรอก"

"พูดเป็นตาแก่ไปได้"
เรโนพูดจบก็ตั้งท่าสู้ แล้วทั้งคู่ก็ฝึกสู้กัน

 


 

เหล่าคนแก่ๆที่บ้านพักริมผาเรียกรูฟัสและพรรคพวกว่าปีศาจน้อย พวกเขาหรือแม้แต่พวกรูฟัสเองไม่เข้าใจว่าทำไมเติร์กจึงยังคงรวมกลุ่มกันทำงานเหมือนเมื่อครั้งก่อนภายใต้สถานการณ์เลวร้ายแบบนี้ได้ คนอื่นๆมองพวกเขาเหมือนเด็กๆที่เล่นเป็นพนักงานบริษัทกันเท่านั้นเอง แม้ว่าหลังจากการเล่นสนุกจบลงพวกเขาก็จะต้องกลับไปบ้านโดยที่ไม่ได้อะไรเลยจากการเล่นครั้งนี้ แต่ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือพวกเขาเหมือนเด็กไร้บ้านที่ไม่มีที่ให้กลับและต้องเล่นสนุกเพื่อเติมเต็มหัวใจของตนเองไปวันๆ
 



วันหนึ่งหลังจากผ่านเหตุการณ์วันตัดสินชะตาโลกมาสองปี รูฟัสแวะไปหาคิลมิสเตอร์ที่ห้อง

"ไงหมอ? จะบอกผลลัพธ์งานวิจัยให้ฉันฟังได้หรือยัง? ฉันอยากรู้จะแย่อยู่แล้วว่าโรคที่ฉันเป็นอยู่เนี่ยมันเกี่ยวข้องกับเจโนวายังไง"

"เอ้อ ก่อนอื่นก็ต้องขอบอกว่าการค้นหาวิธีรักษาสองปีมาเนี่ยยังไม่มีอะไรคืบหน้าเลย"
คิลมิสเตอร์ตอบเหมือนพูดเล่นทั้งที่เขาพัฒนายากระตุ้นที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิมได้แล้ว ส่วนรูฟัสก็ยังคงรอฟังต่อโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า "แต่ฉันรู้ต้นตอของโรคนี้แล้ว"

คิลมิสเตอร์เล่าตอนที่ผู้ป่วยคนแรกถูกไลฟ์สตรีมซัดเข้าและเขาคอยเฝ้าดูอาการอยู่

"ตอนนั้นคนป่วยทรมานและยอมรับความตาย คุณประธานเองก็เคยเป็นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?"

เออสิ รูฟัสคิด

"หลังวันที่เมเทโอตกหลายคนคงคิดว่าตัวเองไม่มีอนาคต มีแต่ความตายที่รออยู่ ตอนนั้นละที่จำนวนคนป่วยเพิ่มขึ้นมหาศาลเลย เพราะงั้น..."

คิลมิสเตอร์พูดเรื่องน้ำสีดำ รูฟัสก็คิดถึงของเหลวที่เคลื่อนไหวเหมือนมีชีวิตที่เขาเจอตอนอยู่ในถ้ำ

"...ผู้ป่วยหลายๆคนสัมผัสน้ำสีดำนี่เข้า ไม่ว่าจะไปแตะโดนหรือเผลอดื่มเข้าไป พอนึกถึงกรณีนั้นแล้วคิดว่าผู้ป่วยคงรับของเหลวสีดำเข้ามาทางไหนสักทาง"

"กรณีที่ว่าน่ะอะไร?"
รูฟัสสงสัยคำที่คิลมิสเตอร์ใช้

"อาการเจ็บปวดที่เห็นเป็นหลักฐานว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมภายนอกอยู่ มันเป็นอาการที่หนักหนาสาหัสกว่าอาการอื่นแบบเทียบกันไม่ได้ ยิ่งสิ่งแปลกปลอมที่ว่านี่มาจากสิ่งที่พลังกล้าแข็งแบบนั้นแล้วละก็ คงไม่มีทางเยียวยาความเจ็บปวดนั้นได้แน่ๆ"

"แกรู้ที่มาของโรคนี้แล้วงั้นเหรอ?"

"...ยีนส์ของเซฟิรอธ หรือจะพูดว่าเป็นยีนส์ของเจโนวาก็ได้ ...ไม่สิ เรียกว่าเป็นเศษที่เหลือมาจากยีนส์ของมันดีกว่า ฉันก็เคยเล่าแล้วนี่ว่าพวกนี้มีลักษณะเหมือนที่พบในตัวโซลเยอร์"


รูฟัสคิดถึงตอนที่ถูกของเหลวสีดำล้อมอีกครั้งและยิ่งรู้สึกหนาวถึงกระดูกเมื่อได้ยินชื่อของเซฟิรอธ

"คุณประธาน ฉันอยากเห็นเจโนวาหน่อยน่ะ มันอยู่ไหน?" คิลมิสเตอร์ถามถึงเจโนวาแบบไม่ใส่ใจความรู้สึกของรูฟัส

"เสียใจด้วยนะ ฉันเองก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน"

"สั่งลูกน้องแกไปหามาสิ"

"ขอคิดดูก่อนนะ"

"ตัดสินใจให้ไวเข้าล่ะ"


รูฟัสพยักหน้าก่อนหันหลังให้คิลมิสเตอร์ ก่อนเดินออกจากห้องคิลมิสเตอร์ก็พูดขึ้น
"นานมาแล้วศจ.โฮโจเคยปฏิเสธโปรเจ็คนึงที่ฉันเสนอไป จนถึงตอนนี้ฉันก็อยากจะลองอยู่ เราอาจสร้างสิ่งที่เหนือกว่าเซฟิรอธได้นะ"

"แล้วเรื่องรักษาโรคนี่ล่ะ?"
รูฟัสหันกลับไปถาม

"คนที่ออกอาการแล้วก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ส่วนคนที่ยังแข็งแรงดีถ้าไม่ทำตัวหดหู่ก็คงไม่เป็นไรหรอก ประกาศบอกสาธารณะชนไปแบบนั้นได้เลย แต่อย่าพูดเรื่องน้ำนะ เดี๋ยวจะวุ่นวายเปล่าๆ"

รูฟัสเองก็เป็นหนึ่งในคนที่แสดงอาการออกมาแล้ว เขาเดินออกจากห้องไปเงียบๆ
 



เช้าวันต่อมามีคนพบศพคิลมิสเตอร์ถูกยิงตาย ขณะที่เส็งกำลังตรวจสอบศพ จู๊ดก็เข้ามาสารภาพว่าเขาเป็นคนฆ่าเอง

"นายไปเอาปืนมาจากไหน?"

"ผมบอกไม่ได้ ที่จริงคนที่ให้ปืนผมเขาไม่ได้บังคับไม่ให้ผมบอกหรอกนะ แต่เขาเคยช่วยชีวิตผมไว้ครั้งหนึ่ง"


เส็งเดินไปรายงานเรื่องของจู๊ดและคิลมิสเตอร์ให้รูฟัสฟังแต่ดูท่าทางรูฟัสจะไม่ตกใจเท่าไหร่

"ฟังนะเส็ง"

"ครับ"

"บริษัทชินระจะตามหาเจโนวา"

".....ครับ"

"เราต้องปกป้องไม่ให้มันตกไปอยู่ในมือของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นพวกนักวิทยาศตร์สติเฟื่อง หรือว่า..."
รูฟัสนึกถึงคำของคิลมิสเตอร์ "พวกเศษซากที่ล่องลอยอยู่ในไลฟ์สตรีม"

"ครับท่าน ผมจะรีบไปเตรียมการเดี๋ยวนี้"

 



รู้ดและเรโนช่วยกันเขียนป้ายบอกทางมาบ้านพักริมผาใหม่

"ไอ้ Healin นี่หมายความว่าไง?"

"การเยียวยาโลกใบนี้ไง"

ทั้งสองคนหันมาตามเสียงรูฟัส

"ถึงวิธีการของเราจะดูบุ่มบ่ามไปหน่อย แต่ชาวบ้านคงชินกับวิถีชินระของเราแล้วหละ"

น้ำเสียงของรูฟัสเต็มไปด้วยความตื่นเต้นต่ออนาคตที่เขาวาดไว้
 

 

 

จบเรื่องราวของชินระ

 

<กลับไปหน้าหลัก>


Web Content by Shiryu
This site is best viewed in Firefox with a resolution of 1024x786