On the Way to a Smile : Case of Nanaki
Written by Kazushige Nojima
Published in FFVII: On the Way to a Smile Book
Translated (Jap>Eng) by
LH Yeung
Translated (Eng>Thai) by Shiryu
โธ่ กิลลิแกน ไปไปให้พ้น แกเป็นใครกัน?
นานากิหรือที่รู้จักกันดีในนามเร้ด13
แหงนมองพระจันทร์แล้วหอนออกมาเหมือนพยายามจะขับไล่ปีศาจที่มาทำรังอยู่ในกาย
เขา เสียงหอนสะท้อนก้องไปทั่วในยามค่ำคืน
เปลวเพลิงที่ลุกอยู่บนปลายหางของเขาฉายขนที่ปกคลุมอยู่ทั่วตัวให้สว่างขึ้น
ยามที่เขาไกวหางไปมา
ไม่มีใครตอบรับเสียงหอนของนานากิ
ซึ่งก็เหมือนกับทุกครั้ง แต่หนนี้เขาเริ่มรู้สึกว่ามันได้ยินเสียงเขา
เจ้าปีศาจร้ายที่บอกกับเขาว่านานากิจะสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง
มันคือกิลลิแกนที่อยู่ในร่างและเป็นศัตรูหนึ่งเดียวของเขาตอนนี้
เขาเพิ่งรู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของเจ้านี่เมื่อไม่นานมานี้เอง
ตอนนี้เขาพยายามครุ่นคิดถึงต้นกำเนิดของเจ้าปีศาจร้ายที่ว่านี่
มันอาจจะเกิดตามมาทีหลังเขา
หรือบางทีมันอาจมีตัวตนอยู่ก่อนเขาเกิดก็ไม่อาจทราบได้
หลังการเดินทางร่วมกับพวกคลาวด์เพื่อกำจัดเซฟิรอธและช่วยเหลือดวงดาว
นานากิกลับมายังคอสโมแคนยอน
ผู้คนต่างพากันต้อนรับเขาอย่างอบอุ่นและฟังเรื่องราวการเดินทางของเขาอย่าง
ใจจดใจจ่อ นานากิรู้สึกภาคภูมิใจกับการเดินทางครั้งนี้มาก
นานากิออกไปพบพ่อผู้กล้าหาญต่อสู้กับเผ่ากิแต่ลำพังและกลายเป็นหินเฝ้ามองหมู่บ้านอยู่บนยอดเขา
"พ่อครับ พ่อและแม่เป็นนักรบผู้เก่งกล้าที่เฝ้าดูหุบเขาแห่งนี้
ผมพยายามจะปกป้องที่นี่เหมือนกับที่พ่อเคยปกป้องไว้ แล้วผมก็ทำได้สำเร็จ
ผมจะออกเดินทางอีกครั้งครับ หนนี้ผมไม่ได้ออกเดินทางไปต่อสู้กับใคร
ผมอยากออกเก็บเกี่ยวประสบการณ์รอบโลก ดูลูกโชโคโบะที่เพิ่งเกิด
ฟังเสียงใบไม้ร่วงโรย แล้วก็ เอ.... ผมจำไม่ได้ว่ามีอะไรอีก
แต่ผมอยากเห็นทุกอย่างด้วยตาตัวเอง จดจำไว้แล้วเล่าให้ลูกหลานได้ฟัง
แล้วก็...." นานากิจ้องไปที่พ่อของเขา มองเข้าไปในดวงตาและหูที่กลายเป็นหินนั้นแล้วก็คิด
"...ผมจะกลับมาเล่าให้พ่อฟังด้วย"
นานากิบอกทุกๆคนว่าเขาจะออกเดินทางตามคำสั่งเสียของปู่บูเก้นฮาเก้น ให้เป็น
"การเดินทางเพื่อบันทึกเรื่องราวของโลกนี้"
ซึ่งทุกคนต่างพากันสนับสนุนและบอกว่าพวกเขาจะคอยนานากิอยู่ที่นี่เสมอ
ก่อนเดินทางออกมาส่งหน้าหมู่บ้าน
นานากิเดินทางออกจากหมู่บ้านลงเขา
มาได้พักหนึ่งก็เหลียวมองกลับไปพบว่าผู้คนในคอสโมแคนยอนยังคงโบกมือให้เขา
อยู่ เขาจึงยกขาหน้าขึ้นแล้วหอนตอบ
ลาก่อนทุกคน แล้วผมจะกลับมา รักษาตัวให้ดีนะ เขาวิ่งลงจากเขามาในอึดใจเดียว
ไม่นานเขาก็มาถึงเชิงผาที่ซึ่งเขามักใช้หยุดพักทุกครั้งที่ออกจากหมู่บ้าน
ปกติพอเลยจากจุดนี้ไปจึงจะมองไม่เห็นหมู่บ้าน
แต่หนนี้มีหินก้อนใหญ่จากไหนไม่รู้มาบังวิวทำให้เขาหันกลับไปมองไม่เห็นหมู่
บ้านแล้ว อืมใช่ ไลฟ์สตรีมคงพัดมาแถวนี้แล้วทำให้หินมันทลายลงมา ยิ่งเดินออกไปก็ยิ่งพบว่าภูมิประเทศแถวนี้เปลี่ยนไปพอสมควร ชะง่อนหินที่เคยมีก็พังลงมา
ช่วยไม่ได้แฮะ นานากิคิด
ถ้าเทียบกับมิดการ์ที่ต้องมาบูรณะเมืองกันใหม่แล้ว ความเปลี่ยนแปลงแค่นี้ก็ไม่ได้สาหัสอะไร
นานากิออกเดินทางต่อ สักพักเขาก็รู้สึกผิดบางอย่างที่ผิดปกติ
ไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่เป็นตัวของเขาเอง
นานากิยืนนิ่งแล้วหลับตาลงมองลึกลงไปในใจตนเองซึ่งเป็นวิธีที่นานากิมักใช้ทำความเข้าใจเรื่องต่างๆ
นั่นไง ต้องเป็นเพราะเจ้านั่นแน่ๆ
ตอนนี้เหมือนกับมีรูโหว่อยู่บนหัวใจของเขา ไม่สิ ไม่ใช่รูโหว่
มันเหมือนกับ "วิญญาณแห่งความทรงจำ" นั่งมองเขาอยู่ตรงนั้นมากกว่า
มันยึดติดกับหัวใจเขาแน่น
แล้วเขาก็เริ่มรู้สึกว่ามันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
เขารู้สึกว่ารูปร่างมันเปลี่ยนไป มันจะกลายเป็นตัวอะไรนะ? นานากิเริ่มสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
"....." เขากลัวจนส่งเสียงไม่ออก นานากิกัดฟันทนแต่ก็ไม่สามารถทนได้ เขาถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้ววิ่งกลับหมู่บ้าน
ผู้คนในหุบเขาต่างพากันแปลกใจที่เห็นนานากิกลับมา แล้วก็มารวมตัวกัน
"เกิดอะไรขึ้นเหรอนานากิ?"
"อืมมม.." นานากิรู้ว่าวิญญาณมืดนั่นหายไปแล้ว
"อย่าบอกนะว่านายเกิดคิดถึงบ้านขึ้นมาแล้วน่ะ" คนหนึ่งพูดแซวขึ้นมา คนอื่นๆก็พากันหัวเราะ
"อืม คงงั้นละมั้ง"
"นานากิ นายต้องเข้มแข็งเข้าสิ แบบนี้ไม่สมกับเป็นนักรบผู้เก่งกล้าเลยนะ!"
"นั่นสิ นายพูดถูก"
นานากิพูดคุยกับชาวบ้านอยู่พักหนึ่งก่อนจะกล่าวลาทุกคนและเดินทางออกมาอีก
ครั้ง
ถึงจะเลี่ยงไปทางอื่นได้แต่เขากลับลองเสี่ยงใช้ทางเดิมดูเพราะเขาอยากรู้ว่า
เขารู้สึกกลัวขึ้นมาเพราะอะไรกันแน่และคิดว่าน่าจะมีอะไรเกี่ยวกับสถานที่
นี้ แต่หนนี้กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นานากิตั้งชื่อเจ้าสิ่งนี้ว่า "กิลลิแกน"
ชื่อนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรแต่เขาตั้งชื่อเอาไว้เพื่อจดจำมันซึ่งทำให้เขา
หวนระลึกถึงหลายสิ่งหลายอย่าง
แล้วนานากิก็เลี้ยงกิลลิแกนมาเรื่อยขณะที่เขาออกเดินทาง
พอเขารู้สึกถึงมันขึ้นมาได้เขาจะพยายามค้นหาว่ามันคืออะไรกันแน่
แต่ทุกครั้งก็ทำให้เขาหวาดกลัว
เขาคิดว่าเขาจะไม่สนใจมันจนกว่าจะหาทางรับมือกับมันได้
เมื่อออกจากคอสโมแคนยอนไปแล้ว นานากิวางแผนการเดินทางว่าจะไปทางตะวันตก
ไปที่วูไทบ้านเกิดของยุฟฟี่ก่อน
แล้วก็จะตระเวนรอบๆเกาะตะวันตกก่อนจะเดินทางต่อมาตะวันออกบนเกาะใหญ่ที่มี
เมืองจรวดของซิด, โคเรลบ้านเกิดแบเร็ต, นีเบิลไฮม์บ้านเกิดของทีฟาและคลาวด์
จากนั้นเขาจะขึ้นเหนือ
เดินทางไปดินแดนที่ไร้ผู้อยู่อาศัยให้ทั่วทุกซอกทุกมุม
คงกินเวลาพอสมควรแต่เขาไม่ห่วงเรื่องนั้น
เนื่องจากเผ่าพันธุ์ของนานากิมีอายุยืนยาวถึงห้าร้อยปีหรืออาจจะถึงพันปี
ซึ่งยืนยาวกว่ามนุษย์หลายเท่า
"ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน เรายังมีชีวิตเหลืออยู่มากกว่าคนอื่นๆมากนัก"
วูไทเป็นเป้าหมายของนานากิ ถ้าเป็นไปได้เขาอยากเจอยุฟฟี่
ยุฟฟี่ชอบมาเล่นเขาเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยง
แต่นานากิก็รู้ว่านั่นเป็นวิธีแสดงความเป็นมิตรของยุฟฟี่
"ยุฟฟี่คิดอะไรมองออกง่ายจะตาย"
นานากิรู้ว่ายุฟฟี่ต้องอยู่กับเพื่อนๆที่อายุมากกว่าเธอทั้งนั้น
แล้วก็รู้สึกว่าเธอคอยท้าทายคนอื่นตลอดเวลา
เธอยืนกรานตลอดว่าอายุไม่สำคัญหรอก
ซึ่งนานากิก็เข้าใจเรื่องนั้นดีว่าเธอคงกลัวคนอื่นมองเรื่องวุฒิภาวะ
แต่เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของเด็กอายุ 15-16 อย่างยุฟฟี่เท่าไหร่
แม้ว่าเขาจะอยู่มาเกือบห้าสิบปี
แต่ช่วงการเติบโตของเขาแตกต่างจากมนุษย์เขาก็เลยเลิกคิดที่จะเข้าใจยุฟฟี่
มากไปกว่านี้
เมื่อนานากิเดินทางมาเกือบถึงวูไทเขาก็พบกับยุฟฟี่โดย
บังเอิญ เขากะว่าจะกระโจนใส่ให้เธอตกใจเล่น
แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วตอนนี้คงไม่เหมาะจะล้อเล่นเท่าไหร่
ยุฟฟี่กำลังพยุงเด็กผู้ชายอายุพอๆกับเธอคนหนึ่งตรงเข้าวูไท
เธออาจเดินทางมาไกลแล้วก็ได้ ด้านหลังเธอมีแต่ทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตา
เขาไม่รู้ว่าเด็กผู้ชายคนนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า
แต่ยุฟฟี่พยายามส่งเสียงคุยกับเขาตลอด ไม่นานยุฟฟี่ก็หยุด
นานากิคิดว่าเธอคงพักเหนื่อย
แต่ยุฟฟี่แบกเอาร่างเด็กชายขึ้นบนหลังแล้วออกเดินต่อ
ซึ่งดูแล้วลำบากซักหน่อยเพราะยุฟฟี่เองก็ไม่ได้แข็งแรงอะไร
"ช่วยไม่ได้แฮะ"
นานากิเข้าไปหายุฟฟี่
ถึงยุฟฟี่จะไม่ได้บอกให้ช่วยแต่เขาคิดว่าช่วยเธอหน่อยก็ดีเหมือนกัน
นานากิค่อยๆย่องหายุฟฟี่ซึ่งยังไม่ทันเห็นเขาแล้วถามขึ้น
"ให้ช่วยไหม?"
เพื่อนของยุฟฟี่คือเด็กผู้ชายชื่อ "ยูริ" ซึ่งติดโรคมาจากมิดการ์
เป็นโรคร้ายแรงที่ทำให้มีของเหลวสีดำไหลออกจากขาของเขา
นอกจากเรื่องบูรณะมิดการ์แล้วโรคนี้ก็กำลังเป็นปัญหาใหญ่
นานากิได้ยินมาว่ามันเป็นโรคติดต่อ
แต่ยุฟฟี่สัมผัสโดนตัวยูริตรงๆแบบไม่สนใจอะไร
เขาก็เลยห่วงขึ้นมากลัวว่าเธอจะไม่ทันคิดเรื่องนี้
แต่พอถามก็ได้ความว่ายุฟฟี่รู้ดีว่าโรคนี้อาจเป็นโรคติดต่อ
แล้วนานากิก็เปลี่ยนความคิด นี่ไม่ใช่เพราะเธอไม่ระมัดระวัง
แต่เป็นเพราะเธอจิตใจดีต่างหาก ยุฟฟี่ ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาสนิทกันแค่ไหน แต่อย่าเพิ่งทิ้งเพื่อนเธอเสียล่ะ
นานากิเริ่มรู้สึกเกลียดยูริขึ้นมา
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมยุฟฟี่ถึงใจดีขนาดนี้ทั้งที่อาจติดโรคได้
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่นานากิจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเพราะเขาเป็นเพื่อนของยุ
ฟฟี่ พอยุฟฟี่ถามว่าจะใช้มาทีเรียรักษาเขาได้ไหม
นานากิก็ตอบไปตรงๆด้วยอารมณ์หมั่นไส้ยูรินิดๆว่าไม่มีมาทีเรียแบบนั้นหรอก
ทำให้ยุฟฟี่โกรธซึ่งนานากิก็กะไว้อยู่แล้ว
แต่เขาก็ไม่คาดคิดมาก่อนว่าคำตอบของเขาจะทำให้แววตาของยุฟฟี่เศร้าแบบนี้
ทำให้เขาต้องรีบขอโทษเธอที่พูดออกไป
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงวูไทและพัก
อยู่หลายวัน ยุฟฟี่คอยดูแลคนป่วยที่มาพักฟื้นที่นี่
นานากิจะคอยช่วยถ้าเธอขอให้ช่วย แต่ส่วนมากก็จะนั่งเฝ้าดูอาการมากกว่า
เขาได้เก็บภาพประสบการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำด้วย
"นี่ๆ นายพูดได้จริงหรือเปล่า?" ผู้ป่วยคนหนึ่งถามขึ้น
"ประหลาดดีแฮะ ชินระสร้างของแบบนี้ขึ้นมาทำไมเนี่ย? ท่าทางจะสร้างมาผิดพลาดนะ
น่าจะเอาเวลาไปผลิตอย่างอื่นที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์มากกว่า"
"อืมมม..." นานากิพยายามคิดแบบที่มนุษย์คิดและพยายามเข้าใจพวกเขา
เขาจะคอยบอกเล่าให้มนุษย์ในอนาคตฟังต่อไปว่ามนุษย์ค่อยๆเปลี่ยนไปอย่างไร
บ้าง แล้วเขาก็ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมา
นานากิอยากอยู่กับยุฟฟี่ในวูไทให้นานกว่านี้เพื่อดูแลพวกคนป่วย
แต่ยุฟฟี่สั่งให้เขาออกไปรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคนี้
เขาเลยเดินทางออกจากวูไทมา
พอหันกลับไปมองวูไทเขาก็นึกภาพยุฟฟี่กำลังพยาบาลผู้ป่วยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ
ที่สร้างไว้หน้าเมือง แล้วเขาก็ออกห่างจากวูไทมาเรื่อยๆ
"ไว้จะแวะมาอีกนะ"
ทันใดนั้นนานากิก็รู้สึกวูบขึ้นมา กิลลิแกน มันมาอีกแล้ว
ครั้งนี้นานากิพยายามเพ่งดูเพื่อหาตัวจริงของกิลลิแกน
เจ้าวิญญาณดำทมิฬสั่นกระเพื่อมก่อนจะมีบางอย่างลอยขึ้นมาบนผิวของมัน
เป็นหน้าผู้คนที่คอสโมแคนยอน
ใบหน้าที่มีความสุขแต่สักพักหน้าเหล่านั้นก็โดนดึงกลับเข้าไป หน้าพวกนั้น
...เอ๋? ตอนนี้นานากิจำชื่อพวกเขาไม่ได้แล้ว ทำให้เขาหมอบลงสั่นด้วยความกลัว
นึกสิ....เราต้องนึกชื่อพวกเขาให้ออก นานากิพยายามกระตุ้นตัวเอง ไม่นานใบหน้าของยุฟฟี่ก็ลอยออกมาจากวิญญาณดวงนั้น
หน้าของยุฟฟี่ดูสงบแต่เป็นสีหน้าที่เขาไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน
สักพักใบหน้าของยุฟฟี่ก็ถูกดูดกลับลงไปในวิญญาณเหมือนกัน
แล้วภาพของความตายก็ลอยขึ้นมา พวกคนในหุบเขากำลังจะตายงั้นเหรอ? ตอนนี้นานากิกลัวขึ้นมาจับจิต
"ช่วยด้วย!"
นานากิตะโกนลงพื้นเหมือนอยากบอกให้ดวงดาวช่วยเหลือเขา
ก่อนเขาจะนึกถึงยุฟฟี่ กิลลิแกนก็หายไปเสียก่อน นานากิลุกขึ้นมองรอบๆ
เขาวิ่งขึ้นไปบนเขาแล้วมองลงมายังวูไท เห็นยุฟฟี่ยังคงทำงานอยู่
วันหนึ่งยุฟฟี่จะแก่ลงแล้วก็ตาย เหล่าผู้อาวุโสในหุบเขาเองก็จะลาโลกนี้ไปก่อนเธอด้วยซ้ำ
พอคิดเรื่องนี้แล้วเขาก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา น้ำตาของนานากิเริ่มไหล
เขาร้องไห้ออกมานานพอสมควรกว่าจะข่มความรู้สึกลงได้
แต่ทำไมกิลลิแกนถึงทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวตอนที่แสดงภาพความตายให้เขาเห็น
นะ?
หรือร่างจริงของกิลลิแกนคือความกลัวว่าทุกคนจะต้องจากเขาไป?
นานากิส่ายหัวพยายามสลัดความคิดอัปมงคลนี้ออกไป
เขารู้ว่าวันหนึ่งเวลานั้นก็จะมาถึง
แต่เขาไม่อยากจะคิดถึงเรื่องความตายของพวกเขาในตอนนี้
นานากิเปลี่ยนแผนการเดินทางและคิดว่าจะไปหาข้อมูลเรื่องโรคภัยไข้เจ็บของมิดการ์ที่ยุฟฟี่และคนอื่นเคยพูดถึงเสียก่อน
ซึ่งที่ๆจะหาข้อมูลได้ดีที่สุดก็คือมิดการ์เอง
บางทียิ่งได้ข้อมูลมามากอาจยิ่งทำให้เขาสับสน
แต่คลาวด์ที่พิจารณาเรื่องต่างๆอย่างรอบคอบ และทีฟาที่ฉลาดรอบรู้ซึ่งอยู่ที่นั่นอาจช่วยให้เขาเรียนรู้ได้อีกหลายอย่าง
ช่วงที่เดินทางผ่านภูเขานีเบิลนานากิเข้าไปในป่าที่ไม่เคยเข้ามาก่อนแล้วหลงทาง
ทีแรกเขาคิดว่าอาจใช้สัญชาติญาณสัตว์หาทางออกไปได้
แต่กลับหลงเดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่ได้กังวลอะไร
เพียงแค่ดูการเคลื่อนที่ของพระอาทิตย์ก็จะรู้ทิศ
เขาเดินต่อไปเรื่อยๆโดยใช้ความรู้ที่เรียนรู้มาจากมนุษย์และคิดว่าอีกไม่ไกล
ก็จะออกไปทางตะวันออกได้
เสียงปืนดังขึ้น
นานากิไม่รู้ว่ามันดังมาจากทางไหน เพราะเสียงมันสะท้อนก้องป่าไปหมด
แต่เขาก็พยายามวิ่งไปหาต้นตอของเสียง
จนกระทั่งพบเด็กสิบขวบกำลังถูกมอนสเตอร์จู่โจม
มอนสเตอร์ที่ว่ารูปร่างคล้ายหมีมีหางยาว แต่ก็อาจจะเป็นหมีจริงๆนั่นแหละ
ตัวมันสีน้ำตาลเทาเหมือนสนิม และขาหน้ามีเลือดออก
มันคงถูกยิงเจ้ามอนสเตอร์บาดเจ็บลากขาเดินไปรอบๆตัวเด็กชายที่นั่งสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว มันคงคิดอยู่ว่าจะจัดการเด็กคนนี้ยังไง
สักพักมันก็คลั่งพุ่งเข้าหาเด็ก
นานากิกระโจนออกมาคาบชายเสื้อเด็กคนนั้นหนีออกมา
พอพามาที่ปลอดภัยแล้วเขาก็หันหน้ากลับไปเผชิญกับเจ้าหมี
มันกางกงเล็บออกมาพร้อมพุ่งเข้าใส่นานากิ ถ้าโดนเข้าต้องแย่แน่ๆ
"หมีนีเบิลมีจุดอ่อนอยู่ที่ลำคอ! เล่นมันเลยฮะเร้ด!"
เด็กผู้ชายตะโกนบอก นานากิได้ยินแล้วก็แอบงงเล็กน้อย
แต่จุดอ่อนของสัตว์ป่าส่วนใหญ่ก็อยู่ที่คออยู่แล้ว
เขาเลยมุ่งเป้าการโจมตีไปที่คอของมัน
นานากิแผดเสียงคำรามหลังไม่ได้ต่อสู้มาเสียนานทำเอาหมีนีเบิลชะงักไป
มันจ้องตานานากิเพื่อประเมินกำลังของคู่ต่อสู้
"ทำอะไรอยู่เล่า! เอาเลยสิเร้ด!"
เลิกสั่งนู่นสั่งนี่ตามใจแกซะที นานากิคิด มนุษย์ไม่ควรเข้ามาแทรกในการต่อสู้ของสัตว์ป่าที่ไม่มีอาวุธอื่นนอกจากร่างกายของมันเอง และป่านี้ก็เป็นที่ของสัตว์ป่า
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด เลือดทะลักออกจากคอหอยของเจ้าหมี
ร่างมหึมาของมันล้มลงกับพื้น
มนุษย์ที่ดูแล้วน่าจะเป็นนายพรานเดินออกมายิงซ้ำใส่หมีจนมันแน่นิ่งไป
นายพรานหันมาเอาปืนเล็งใส่นานากิ แต่ดูเหมือนเขาตั้งท่าไว้ป้องกันตัว คงไม่คิดจะยิงจริงๆ
"พ่อฮะ อย่ายิงนะ มันช่วยผมไว้ มันเป็นโชคชะตาแน่ๆ พระเจ้าส่งมันมาช่วยผม ผมจะพาเร้ดกลับบ้านด้วย" เด็กพูดขึ้น
"เร้ดงั้นเหรอ?"
"ช่าย มันตัวสีแดงผมก็เลยเรียกว่าเร้ด"
ชื่อห่วยชะมัด นานากิคิด พลางนึกถึงไอ้บ้าที่เคยตั้งชื่อคล้ายๆกันนี่ให้เขา
เขาแผดเสียงคำรามเพื่อแสดงความไม่พอใจ
ทำให้พ่อและเด็กคนนั้นถอยห่างออกไปดูท่าที
"แกพูดได้ใช่ไหม?" นายพรานถามขึ้นขณะที่ยังเล็งปืนมาที่นานากิ "นาน
มาแล้วชินระมีรางวัลก้อนโตให้สำหรับคนที่จับเผ่าที่คล้ายๆหมาป่ายักษ์ขนแดง
หางไฟแบบแกนี่แหละ ว้า! ถ้าชั้นจับแกได้เร็วกว่านี้ซักปีนึงก็รวยไปแล้ว!"
"เร้ดพูดได้ด้วยเหรอ?"
เออ
ฉันพูดได้ แล้วฉันก็ฉลาดกว่าพวกแกทั้งสองคนด้วย
แต่ฉันไม่อยากเปิดปากพูดกับคนอย่างพวกแก
พวกที่ชี้ปืนไปทั่วแล้วพูดอะไรก็ได้ที่อยากพูดน่ะฉันไม่นับเป็นเพื่อนหรอก นานากิหันหลังกลับแล้วกระโจนเข้าป่าไป
"โธ่เว้ย!"
เสียงปืนดังขึ้นผ่านหูนานากิ เห็นมะ สุดท้ายก็ยิงอีกละ คนอย่างพวกแกจะเอาฉันไปใส่กรงละสิ ถึงได้พยายามบังคับให้ฉันพูดนัก คนแบบนี้น่ะเรอะที่จะมาเป็นเพื่อนกันได้
หลังวิ่งออกมาได้สักพักนานากิก็เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ตามมา นานากิเดินกลับมาที่เดิมแล้วแอบดูก็เห็นทั้งสองกำลังชำแหละซากหมีอยู่
"พ่อฮะ ผมอยากได้เร้ด"
"นั่นสิ ท่าทางจะทำเงินได้โขอยู่ ถึงชินระจะล่มสลายไปแล้วแต่เราก็ยังเอาเจ้านั่นออกโชว์ได้ ถ้าพาขึ้นโกลด์ซอเซอร์ได้ก็เยี่ยมเลย"
"เปล่านะ ผมอยากเป็นเพื่อนกับเขา!"
"จะบ้าเรอะ" นายพรานตอบขณะใช้มีดตัดหางหมีออก "มันไม่ใช่หมาหรือแมวนะ ลูกเลี้ยงยังไงก็ไม่เชื่องหรอก"
ต่อให้แกเองก็เลี้ยงฉันไม่ได้หรอกตาแก่ นานากิคิด
"เอาละ ไปพาคนอื่นมา"
"จะทำอะไรเหรอฮะ?"
"ปกติ
เราต้องการแค่หางมันนี่นะ
ชินระรับซื้อหางราคาดีเพื่อเอาไปทำยาบำรุงให้โซลเยอร์
แต่หลังจากนี้เราจะเอาเนื้อมันไปใช้ด้วย
ถึงจะไม่อร่อยแต่รสชาติมันก็ไม่ได้แย่อะไร ถ้าปรุงดีๆก็อร่อยได้เหมือนกัน"
"หา? จะกินไอ้เนี่ยเหรอ?"
"ใช่สิ โลกเรากำลังขาดแคลนอาหาร ไม่รู้ว่าสถานการณ์แบบนี้จะเป็นไปอีกนานขนาดไหนแต่ก็เป็นโอกาสให้เราทำรายได้ได้เหมือนกัน"
พ่อและลูกชายทิ้งซากหมีไว้แล้วเดินออกไป นายพรานคนนั้นก็ไม่ใช่คนเลวอะไร
เขาแค่ต้องเข้มแข็งเอาไว้เพื่อเอาตัวรอดในโลกแบบนี้ไปเท่านั้นเอง
ถ้าคนจะล่าหมีนีเบิลเป็นอาหารก็คงต้องปล่อยให้เป็นแบบนั้น
คนเราก็ต้องกินเพื่ออยู่
ครั้งหนึ่งบูเก้นฮาเก้นเคยเล่าให้นานากิฟัง
ว่าสิ่งที่ทำให้สัตว์แตกต่างจากมอนสเตอร์ก็คือการจัดการกับซากของเหยื่อ
สัตว์ฆ่าเพื่อกิน แต่มอนสเตอร์ฆ่าอย่างเดียว แล้วก็ไปหาเหยื่อใหม่
พอมองถึงความแตกต่างก็นี้แล้วมนุษย์ก็คงใกล้เคียงกับมอนสเตอร์มากกว่า
ถ้านายพรานคนนั้นฆ่าหมีเพียงเพื่อเอาหางก็สมควรถูกเรียกว่ามอนสเตอร์
แต่ถ้าเขากินประทังชีพก็ว่าไปอีกอย่าง ถึงจะไม่ยุติธรรมที่เขาใช้ปืน
แต่นี่ก็เป็นเรื่องของห่วงโซ่อาหาร
เราไม่มีสิทธิ์ไปก้าวก่ายเรื่องของพวกเขา นานากิคิด
นานากิอยู่กับมนุษย์มานานตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นเด็ก
เขาเลยไม่ได้ออกล่าหาอาหารบ่อยนัก เขาจึงนึกภาพตอนที่เขาต้องล่าไม่ออก
พอนึกถึงตอนที่ฆ่าเหยื่อโดยที่ไม่ต้องการจะกินมันแล้วนานากิก็มองตัวเองเป็น
มอนสเตอร์เช่นกัน นั่นสิ เราไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินพวกเขา
มนุษย์หลายๆคนก็ฆ่าสัตว์โดยไม่เจตนาเพื่อใช้เป็นอาหาร
ต่อให้เจตนาพวกเขาก็คงไม่คิดถึงเรื่องการฆ่ามากมายอะไร นานากิเองก็เช่นกัน
แต่คิดไปก็ไม่มีประโยชน์
ต่อให้เรื่องนี้มีคำตอบที่ถูกต้องด้วยความรู้ของเขาในตอนนี้ก็คงหาคำตอบนั้น
ไม่พบ
"จี~~!"
เสียงจากลูกหมีนีเบิลสองตัวร้องแล้ววิ่งเข้ามาหาซากหมีตัวนั้น
พวกมันเข้ามาคลอเคลียเอาจมูกดันร่างหมีที่น่าจะเป็นแม่ของพวกมันเหมือน
พยายามจะปลุกมันให้ตื่น นานากิดูแล้วก็ไม่สามารถช่วยอะไรพวกมันได้
แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าชายคนนั้นบอกว่าจะไปพาคนมา
ถ้าลูกหมีอยู่ที่นี่คงอันตรายแน่ๆ
นานากิทนยืนดูเฉยๆไม่ได้เลยเดินออกมาหาลูกหมีทั้งสอง
"ฉันเข้าใจความรู้สึกของพวกเธอ แต่ที่นี่มันอันตรายนะ รีบมาทางนี้เร็วเข้า"
นานากิกระโจนกลับเข้าป่าไปเพื่อนำทางลูกหมี แต่ดูท่าทางพวกมันไม่เข้าใจที่เขาพูด
"แย่ละสิ พวกมนุษย์กำลังมาทางนี้แล้วนะ"
นานากิจึงวิ่งไปคาบลูกหมีมาตัวหนึ่ง มันร้องขณะถูกนานากิคาบไปทำให้อีกตัวร้องตอบแล้วก็วิ่งตามนานากิเข้าป่าไป
"ดีมาก"
นานากิตรงลึกเข้าไปในป่า บางทีเขาก็หยุดรอให้อีกตัวตามมาทัน
พอตามมาทันก็วิ่งออกไปอีก จนในที่สุดเขาก็ออกจากป่ามา
ที่นี่มีกองหินเก่าวางเรียงกันอยู่มากมายซึ่งดูแล้วรู้ทันทีว่าเป็นฝีมือของมนุษย์ พอสำรวจดูรอบๆก็พบว่าพวกวัสดุหินพวกนี้ถูกเรียงอยู่อย่างสะเปะสะปะ
มีคนคิดจะสร้างอะไรแถวนี้รึเปล่านะ?
อย่างน้อยนี่ก็เป็นหลักฐานว่าเคยมีมนุษย์อยู่ที่นี่
นานากิวางลูกหมีที่คาบอยู่ลง
ทีแรกนานากิตกใจที่มันไม่ขยับตัวแต่พอเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่ามันหลับไปแล้ว
เจ้าตัวน้อยนี่ไม่รู้จักระวังภัยเลยน้า
ลูกหมีอีกตัวมาถึงและส่งเสียงดังลั่น "จี~~!"
พลางวิ่งเข้าหาก่อนจะหยุดดมกลิ่น บางทีมันอาจคุ้นเคยกับกลิ่นของนานากิ
แล้วมันก็หันไปดมกลิ่นน้องชายมัน สักพักมันก็หาวแล้วหลับไปข้างๆน้องมัน
"น่ารักจัง" นานากิคิด แล้วเราจะเอาไงต่อดี? เรามีภาระต้องดูแลเจ้าสองตัวนี้ซะแล้ว
นานากิหมอบลงพลางมองไปที่ลูกหมีทั้งสอง
พวกมันจะอยู่รอดโดยไม่มีแม่ได้หรือเปล่านะ? หมีนีเบิลพวกนี้มันกินอะไรกัน?
ถึงดูเผินๆจะเหมือนสัตว์กินเนื้อที่ดุร้าย
แต่จริงๆหมีพวกนี้กินได้หลายอย่างเหมือนนานากิ
ถ้ามันกินได้หลายอย่างงั้นป่านี้ก็น่าจะมีอาหารอยู่เต็มไปหมด
นานากิคิดว่าจะไปหาอาหารมาให้พวกมันก่อนออกจากป่าไป
ถึงจะห่วงลูกหมีคู่นี้แต่เขาอยู่ดูแลพวกมันตลอดไปไม่ได้
รีบไปซะตั้งแต่ตอนนี้ก่อนที่พวกมันจะติดเขาดีกว่า
แต่ก่อนหน้านั้นนานากิก็หาวแล้วทิ้งตัวลงนอนตามไปอีกคน
สักพักต่อมา นานากิตื่นมาก็พบว่าพวกลูกหมีหายไปแล้ว
ไปแล้วสินะ รักษาตัวให้ดีล่ะ ขณะที่คิดแบบนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาแตะ พอหันไปก็พบลูกหมีทั้งสองมานอนหลับสนิทพิงลำตัวของนานากิอยู่
"ไม่ดีแล้ว แบบนี้ไม่ดีแล้ว"
แล้วนานากิก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เป็นความรู้สึกที่อยู่เหนือเหตุผล
เป็นความรู้สึกต้องการเลี้ยงดูเด็กพวกนี้จนกว่าพวกเขาจะหาเลี้ยงตัวเองได้
เขาตั้งชื่อลูกหมีทั้งสองว่า "ปาซู" และ "ริน" และสอนพวกมันล่า
ถึงตัวเขาเองจะล่าสัตว์ไม่เก่งเท่าไหร่แต่ลูกหมีก็เชื่อฟังที่เขาสอนดี
นี่เป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่ต้องฆ่า
บางทีเขาก็เจอหมีนีเบิลตัวอื่น
เขาจะแสดงตัวว่าไม่ได้เป็นศัตรูแต่พวกมันก็ไม่ค่อยสนใจ
นานากิคิดว่าพวกมันอาจยอมรับเขาเป็นส่วนหนึ่งของป่าแห่งนี้ไปแล้วก็
ได้
ทุกวันเขาจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆและใช้ชีวิตผ่านไปวันๆอย่างสงบสุขจนเขาคิด
ขึ้นว่าชีวิตแบบนี้อาจจะดีแล้วก็ได้
ทุกครั้งเขาจะเตือนตัวเองว่าป่านี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของการท่องโลกของเขา
แต่เขาก็สนุกกับการใช้ชีวิตที่นี่จริงๆนั่นแหละ
มนุษย์เข้าป่ามาล่าสัตว์มากขึ้นเรื่อยๆจนการล่าหมีนีเบิลดูเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว
ในเมื่อคนหันมากินเนื้อหมี
นานากิก็เห็นว่านอกจากล่าสัตว์แล้วเขาคงต้องสอนปาซูและรินให้หนีมนุษย์เป็นด้วย
นานากิรู้สึกว่าเขาอยู่ที่นี่มาหลายวันหลายเดือนแล้ว
แต่เขาก็คิดว่ามีแต่พวกมนุษย์ที่สนใจเรื่องเวลา
เขาจะใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์หรือสัตว์ป่าก็ได้
แต่ตอนนี้เขาอยู่ในโลกของสัตว์ป่า ฉันคิดถึงเรื่องที่สัญญากับยุฟฟี่ไว้
แต่เรื่องโรคนั่นมันไม่เกี่ยวกับสัตว์ที่นี่
เขารู้สึกผิดนิดๆที่คิดแบบนั้นแต่เขาก็คิดดีแล้ว
ฉันจะกลับไปเล่าความรู้สึกตอนเป็นสัตว์ป่าที่ต้องล่าเพื่ออยู่รอดให้มนุษย์ฟัง
กิลลิแกนปรากฏตัวขึ้นอีกหลายครั้ง ใบหน้าของปาซูและรินก็เคยโผล่ออกมาด้วย
หน้าของทั้งสองปกคลุมด้วยความรู้สึกมืดมนก่อนจะถูกดูดเข้าไปในวิญญาณหายไปทำ
ให้นานากิรู้สึกกลัว
แต่ความกลัวก็หายไปเมื่อพบว่าปาซูและรินยังคงอยู่ข้างๆเขา
ตอนนี้นานากิเข้าใจแล้ว
ตัวจริงของกิลลิแกนคือความหวาดกลัวว่าจะต้องสูญเสียคนที่เขารัก
และตอนนี้เขาก็ไม่กลัวกิลลิแกนอีกต่อไปเพราะต่อให้หวาดกลัวการสูญเสียไปก็ไม่ได้อะไรคืนมา
ปาซูและรินเริ่มเติบโตพอจะใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเอง ตอนนี้นานากิและพวกมันมีรังที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งแล้ว
คืนหนึ่งลูกหมีทั้งสองไม่ได้นอนซบนานากิอีกต่อไป
วันนี้มาถึงแล้วสินะ นานากิคิด แม้จะเศร้าแต่นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการเติบโต
วันรุ่งขึ้นนานากิตื่นขึ้นมาก็ไม่เห็นลูกหมีทั้งสองแล้ว
เขาคิดว่าพวกมันคงตัดสินใจออกล่าด้วยตัวเอง
ในขณะเดียวกันเสียงปืนก็ดังขึ้นตามด้วยเสียงร้องของหมีนีเบิล
เป็นเสียงของปาซู
นานากิรีบมุ่งผ่านป่าตรงมายังที่ๆปาซูอยู่และเขาก็ได้เห็นภาพที่เคยเห็นมาครั้งหนึ่งแล้ว
เด็กคนหนึ่งนั่งตัวสั่นอยู่หน้าปาซูที่ยืนด้วยขาหลังแล้วชูคอคำรามหาริน แล้วรินก็ร้องตอบ เด็กชายพยายามหาทางหนีและก็เห็นนานากิเข้า
"เร้ด ฉันเองนะ! จำได้หรือเปล่า? เด็กที่นายเคยช่วยไว้ไง"
วันนั้นนานากิทนให้เด็กคนนี้ถูกฆ่าไม่ได้ แต่หนนี้เขารู้ดีว่าควรพูดอะไร
"ที่นี่คือป่า เธอต้องทำตามกฎของป่านี้"
พอได้ยินเสียงนานากิ เด็กกลับสนุกที่รู้ว่านานากิพูดได้จริงๆ เจ้าเด็กนี่ก็กล้าเหมือนกันแฮะ นานากิคิด
"เข้าใจแล้วเร้ด"
เด็กชายลุกขึ้นแล้วรีบคว้าปืนที่ปาซูปัดตกลงพื้นมา
ฉันไม่ได้มาเชียร์แกนะเว้ย นานากิคิด
ปาซูกำลังจะถูกเด็กคนนี้ยิงแต่รินก็โผล่มาจากพุ่มไม้ตบเด็กคว่ำลง
นานากิไม่อยากมอง
แต่เขาก็พูดกับตัวเองว่าเด็กคนนี้สู้ตามกฎของป่าแล้วแต่ช่วยไมได้ที่เขาแพ้
ปาซูและรินเดินรอบๆตัวเด็ก พวกมันยืนสองขาแล้วคำรามขึ้นฟ้า ไม่เอาแล้ว
นานากิรีบพุ่งเข้ามาขวางทำให้โดนกงเล็บหมีเข้าที่หลังแทน
"จี~~" "จี~~" ปาซูและรินเห็นนานากิเข้าก็รีบถอยออกมา
"ไม่เป็นไรหรอก รีบหนีไปซะเร็ว"
หมีทั้งสองหายเข้าป่าไป
"อั่ก...." เด็กชายร้องอย่างเจ็บปวดขณะที่นานากิเฝ้าอยู่ แล้วเขาก็ได้ยินเสียงนายพรานที่ตามมา
"เจ้าหนูนั่นไปไหนแล้วฟะ? ยังไม่มีประสบการณ์แท้ๆ ดันทะเล่อทะล่าวิ่งมาก่อน"
นานากิรีบกระโจนเข้าไปในพุ่มไม้แล้วซุ่มดู
"เฮ้ย! อะไรฟะเนี่ย!?"
นายพรานวิ่งมาทางนี้ แต่หญิงสาวคนที่ตามหลังมาทำเอานานากิตะลึง
"ฝีมือหมีนีเบิลใช่ไหมเนี่ย?"
เธอคือเอเลน่าสาวแห่งกลุ่มเติร์ก เอเลน่านำโพชั่นออกมาจากสูทเพื่อรักษาเด็กคนนั้น
นี่มันอะไรกัน? ชินระยังอยู่อีกเหรอ? นานากิรู้สึกเสียดายที่พักนี้เขาไม่รู้เรื่องราวทางฝั่งมนุษย์มากนัก
หลังนายพรานหอบเด็กขึ้นหลังออกไปแล้วเอเลน่าก็ใช้มือถือโทรหาคนอื่น
"ฉันได้มาอันนึงแล้ว เดี๋ยวพรุ่งนี้จะหาต่อ"
พอนานากิกลับมาที่เชิงหินที่เป็นที่อาศัยของเขาในป่าแห่งนี้ก็พบกับปาซูและริน
ที่เดินวนเวียนอยู่ พอพวกมันเห็นนานากิก็กระโจนหลบไปในพุ่มไม้
"ฉันไม่โกรธหรอกน่า"
นานากิพูดพลางทิ้งตัวลงนอนเพื่อฟื้นฟูอาการจากแผลที่ถูกปาซูเล่นงานโดยไม่ได้
ตั้งใจ พรุ่งนี้ชินระคงเข้ามาอีก
ดูท่าทางพวกนั้นกำลังตามล่าหมีนีเบิลอยู่ด้วย นานากิหลับตาลง
ขณะนอนอยู่เขารู้ว่าปาซูและรินเข้ามาหาและช่วยเลียแผลให้เขา
ขอบใจนะ ปาซู ริน
เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งกลางดึก
ด้วยความสามารถในการรักษาตัวของเขาทำให้อาการบาดเจ็บทุเลาลงไปเยอะแล้ว
พอมองไปรอบๆก็ไม่เห็นหมีสองตัวนั้นนานากิจึงออกตามหาในป่าแต่ก็ไม่พบ
ปกติหมีนีเบิลไม่ได้ออกหากินตอนกลางคืนทำให้นานากิเริ่มวิตกว่าสองคนนั้นไปทำอะไรกันแน่
และเขาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นนอกเขตป่า
นานากิตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
หลังจากพบกับกิลลิแกนหนนั้นเขาก็ไม่ได้รู้สึกกลัวแบบนี้มานานมากแล้ว
และเขาจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นเขารับมือความหวาดกลัวนี้อย่างไร
ทำยังไงดีนะ? จริงสิ ปาซู ริน ตอนนั้นสองคนนั้นช่วยให้เราหยุดกลัวได้ แต่ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่แล้ว
นานากิลุกขึ้นยืนแล้วฝืนออกจากป่ามา
นานากิมองดูพื้นดินที่เขาเดินผ่านมาระหว่างวิ่งออกมา
แล้วอากาศที่แตกต่างกับในป่าก็ทำให้เขารู้ว่าตอนนี้เขาออกมานอกป่าแล้ว
พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นพงหญ้าแหวกออกเป็นทางตามรอยที่นายพรานเดินไป
พอเดินไปตามทางก็เห็นแสงไฟจากหมู่บ้านอยู่ลิบๆ
ไฟดวงที่ใหญ่ที่สุดไหวและมีเสียงดัง นั่นคงเป็นกองไฟ นานากิคิด
พวกนั้นทำอาหารละมั้ง นานากิพยายามสลัดกิลลิแกนออกจากหัวแต่ก็ไร้ผล
เขาเดินต่อไปมุ่งตรงไปยังแสงไฟ
นั่นไง แสงสว่างส่องให้เห็นปาซูและรินถูกแขวนอยู่บนเสา แขนพวกมันเหยียดตรงขึ้นฟ้า
หางถูกตัด ตอนนี้นานากิรู้สึกว่ากิลลิแกนหายไปแล้ว
เขาไม่กล้ามองหมีทั้งสองตรงๆเลยหันไปสำรวจดูรอบๆ
แถวนั้นมีกระท่อมอยู่สามหลัง
นานากิเงี่ยหูไปฟังดูใกล้ๆก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกชาวบ้านทั้งชายและหญิง
คงกำลังดื่มฉลองกันอยู่ ตอนนี้ไม่มีคนคอยเฝ้าระวัง
แต่นานากิก็ยังคงไม่กล้ามองหมีทั้งสองตรงๆอยู่ดี
เรามาเพื่อล้างแค้นให้เจ้าหมีทั้งสองนี้รึ? สัตว์ป่าไม่คิดแบบนั้นแน่ๆ มนุษย์และหมีนีเบิลเป็นศัตรูกันมายาวนานโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
นานากิคิด พวกที่รู้สึกคิดแค้นก็มีแต่มนุษย์นั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกถึงความรู้สึกอย่างหนึ่งขึ้นมา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอยู่ในบรรยากาศที่ไม่ใช่ป่าหรือเปล่า
แต่ตอนนี้เขาต้องการล้างแค้น
"จี~~"
นานากิได้ยินเสียงหมีดังขึ้นก็ประหลาดใจ
เหมือนพวกมันกำลังบอกเขาว่ามันเจ็บปวดอยู่
แม้ขนาดตัวมันจะใหญ่มากแล้วแต่หมีทั้งสองยังอายุไม่มากนัก
ความรู้สึกดำมืดก่อขึ้นในใจของนานากิ มันไม่ใช่กิลลิแกน
แต่มันกำลังกัดกินความรู้สึกเขาอยู่จนกระทั่งจิตใจของเขาเต็มไปด้วยความต้องการล้างแค้น
นานากิได้ยินเสียงทารกแว่วมาจากกระท่อมหลังหนึ่ง
เด็กคนนั้นต้องน่ารักมากแน่ๆ เด็กทารกไม่มีบาปติดตัว
เราเองก็น่าจะปล่อยวางดีกว่า นานากิคิด
ตอนนี้ทั้งความรู้สึกมนุษย์และสัตว์ป่าได้ตีกันจนจิตใจของเขาแทบจะฉีกขาด
เปรี้ยง!
ลุกกระสุนตกลงเบื้องหน้านานากิ
แล้วเขาก็รู้สึกว่าเขามัวแต่โกรธแค้นจนไม่ทันรู้ตัวว่ามีการยิงปืน
พอมองไปที่ปาซูและรินก็รู้ว่าเสียงร้องที่เขาได้ยินเมื่อครู่นั้นเขาจินตนาการไปเอง เพราะพวกมันตายแล้ว
นัยน์ตาของพวกมันเป็นสีแดงสว่างเหมือนกับสะท้อนแววตาที่เต็มไปด้วยเพลิงแห่ง
ความพิโรธที่คุกรุ่นอยู่ในใจเขาตอนนี้
ตอนนี้ภาพรอบข้างเหมือนถูกย้อมเป็นสีแดงฉานจนมองแทบไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
เขาได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกนัด
นานากิตามเสียงไปและกระโจนเข้าไปในกระท่อมหลังหนึ่งทำเอาแก้วที่วางไว้ขอบ
หน้าต่างแตกกระจุยกระจาย ในกระท่อมมีคนพร้อมอาวุธอยู่หลายคน
สิ่งที่ทำให้เขากระโจนเข้ามาคือความรู้สึกแบบมนุษย์
แต่ตอนนี้สัญชาตญาณสัตว์ป่าในตัวเขาลุกโชนขึ้น
เขามองเห็นมนุษย์ทุกคนเหมือนๆกันหมด
เสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับความเจ็บปวดที่แล่นผ่านแก้มซ้ายของเขา เหมือนเป็นสัญญาณเริ่มการต่อสู้ นานากิกระโจนเข้าใส่คนที่อยู่ใกล้สุด
และเขาก็จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เขาจำได้เพียงความเจ็บปวดจากกระสุนที่แล่นผ่านร่างของเขาและเสียงเด็กผู้ชายกำลังร้องไห้
"ทั้งที่ฉันอยากเป็นเพื่อนกับนายแท้ๆ"
นานากิลุกยืนขึ้นบนพื้นไม้ที่เต็มไปด้วยเลือด เขามองไปรอบๆเห็นชายที่คุ้นหน้าสวมชุดสีแดงนั่งอยู่
"ลุกไหวไหม?"
วินเซนต์ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
"วินเซนต์? วินเซนต์! นายมาทำอะไรที่นี่กัน?"
"ฉันก็อยากจะถามนายเหมือนกัน"
วินเซนต์ตอบแบบขอไปที
วินเซนต์ไม่ได้เล่าอะไรมาก ดูเหมือนเขากำลังเดินทางไปที่ๆอยากไปอย่างไร้จุดหมาย
เขาพูดเหมือนประชดตัวเองว่าเขากำลังรอให้อะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ระหว่างเดินทางเขาเห็นเฮลิคอปเตอร์ของเติร์กเลยตามมา
จนกระทั่งเฮลิคอปเตอร์ลงจอด ณ หมู่บ้านแห่งนี้
เติร์กสาวเอเลน่ากำลังหาอะไรบางอย่างอยู่และตรงเข้าไปในป่าพร้อมนายพรานจำนวนหนึ่ง ไม่นานเธอก็กลับมาพร้อมเด็กบาดเจ็บคนหนึ่ง
คืนเดียวกันก็มีหมีนีเบิลสองตัวปรากฏตัวขึ้น
พวกนายพรานต่างพากันตกใจแล้วก็ยิงใส่หมีจนตาย
หลังได้สิ่งที่กำลังตามหาอยู่เธอก็ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ออกไป
พอวินเซนต์กำลังจะออกเดินทางต่อนานากิก็ปรากฏตัวขึ้นมาพอดี
เขาได้ยินเสียงปืนและนานากิก็กระโจนเข้าไปในกระท่อมหลังหนึ่ง
พอเขาตามไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นก็....
"นายกดนายพรานคนนึงลงกำพื้นและกำลังจะขย้ำคอหอยเขา
เด็กผู้ชายคนนึงตะโกนขึ้นแล้วพูดเกี่ยวกับเพื่อนหรืออะไรนี่แหละ
ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ตอนนี้นายไม่เหมือนนานากิที่ฉันเคยรู้จักเลย
เหมือนสัตว์ป่าที่จู่โจมใส่มนุษย์มากกว่า ฉันเลยต้องยิงนายไง"
พอยิงนานากิล้มลงไปแล้ววินเซนต์รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้อันตรายมาก
เพราะในกระท่อมเต็มไปด้วยนายพรานถือปืน
เขาเลยต้องหาทางไล่พวกนายพรานออกไปให้หมด
"ฉันแปลงร่างให้พวกนั้นกลัวน่ะ"
หลังจากนั้นวินเซนต์ก็พยาบาลนานากิที่ยังไม่รู้สึกตัว
นานากิมองไปรอบๆห้องที่เต็มไปด้วยรอยเลือดเต็มพื้น
"ฉันฆ่าใครไปหรือเปล่า?"
"เปล่า"
"ดีจัง"
ทั้งสองคนเงียบไปพักหนึ่ง นานากิพยายามพยุงตัวขึ้นยืนแล้วมองไปข้างนอก วินเซนต์จึงพูดขึ้นเหมือนเพิ่งนึกออก
"พวกนั้นเอาหมีที่อยู่ข้างนอกไปด้วย ฉันน่าจะห้ามพวกเขาสินะ"
"เปล่า
ให้พวกเขาเอาไปใช้ประโยชน์เถอะ นี่เป็นกฎของป่า เอ
หรืออาจจะเป็นกฎนอกป่าด้วยก็ไม่รู้ วินเซนต์ ฉันไม่เข้าใจเลย
ไม่เข้าใจสักนิด"
"เล่าให้ฉันฟังได้นะ"
แล้วเขาก็เริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องของลูกหมีกับเสียงร้อง "จี~ จี~" เสียดหู ไปจนถึงตอนที่เขามาพบกับวินเซนต์นี้ ซึ่งวินเซนต์ก็นั่งฟังเงียบๆ
"ฉันควรทำยังไงดี?"
วินเซนต์ยังคงนิ่งเงียบ ซึ่งนานากิก็รู้ดีว่าเขาคงไม่ได้คำตอบแต่วินเซนต์ก็พูดขึ้น
"ฉันว่าถ้ามองย้อนไปถึงเรื่องที่ผ่านมานายอาจได้คำตอบ
แต่พอนายนึกดูอีกครั้งคำตอบอาจเปลี่ยนไป
นี่ก็ไม่ใช่คำตอบจริงๆซะทีเดียวหรอกนะ นายใช้ชีวิตหาคำตอบต่อไปเถอะ
ที่สำคัญคือขอให้นายจำเรื่องพวกนี้ไว้ตลอดไปก็พอ"
"อืมมม..."
นานากิเข้าใจครึ่งไม่เข้าใจครึ่ง
"งั้นพูดแบบนี้น่าจะเห็นภาพชัดกว่า" วินเซนต์พูดเหมือนรู้ว่านานากิกำลังงง "สิ่งที่นายคิดว่าถูกตอนนั้นน่ะมันผิด ผิดเต็มๆ"
"แล้วฉันจะต้องทำยังไงเล่า ไม่ว่าจะคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าจริงๆแล้วฉันควรทำยังไงกันแน่"
"ก็นั่นไง" ดูเหมือนวินเซนต์จะพูดจบแล้วแต่เขาก็เสริมขึ้นมาเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ "นายจะเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยก็ได้นะ ครั้งหนึ่งฉันก็เคยทำแบบนั้น"
"แล้วผลออกมาเป็นไง?"
"น่าจะเป็นวิธีไถ่บาปที่ดีที่สุดแล้วหละ"
แล้ววินเซนต์ก็ออกจากกระท่อมไป นานากิรีบตามออกไปทันที วินเซนต์เดินทางไปทางตะวันออก ซึ่งต้องผ่านดินแดนรกร้างนอกเส้นทางสัญจรปกติ
"นายจะไปไหน?"
"ถ้าฉันบอกแล้วนายจะทำไง?"
"ฉันไปด้วยได้มั้ย?"
"ทำไม?"
"ก็เพราะว่า...."
ฉันอยู่กับพวกนายมานาน นานากิคิด ฉันอยากอยู่กับใครสักคน
ตอนนี้พวกเขาเดินทางมาถึงสุดขอบดินแดนรกร้าง
ทั้งสองลงจากภูเขาที่สูงพอๆกับตึกเล็กๆ
"คำตอบของนายผิดเต็มๆ"
วินเซนต์กระโดดสูงขึ้นไปด้านบน
"วินเซนต์!"
แต่วินเซนต์ก็หายลับตาไปโดยไม่ได้ตอบเสียงตะโกนเรียกของเขา
"...นายก็อาจจะผิดเหมือนกันนั่นแหละวินเซนต์"
พอตะโกนบอกวินเซนต์ไปแบบนั้นนานากิก็นึกขึ้นได้
ไม่สำคัญว่าใครจะถูก ไม่สำคัญว่าอะไรคือเรื่องที่ควรทำหรือไม่ควรทำ
การมัวแต่กังวลไม่ก่อให้เกิดอะไรขึ้นมา เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอดีตได้
สิ่งที่รอคอยอยู่เบื้องหน้ามีเพียงอนาคต
สิ่งที่สำคัญคืออย่าได้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นและคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำอีก
เราอาจพบคำตอบ และเมื่อพบแล้วมันจะให้อะไรเราบางอย่าง มันก็เท่านั้นเอง
เมื่อเทียบกับชีวิตที่ยืนยาวแล้วเรื่องนี้เป็นเพียงเศษธุลี ทั้งฉัน, ปาซู
และรินไม่ได้คิดมากอะไรตอนที่เราอยู่ในป่า วันคืนเหล่านั้นสนุกจริงๆนะ
เมื่อเกือบถึงเชิงเขานานากิก็ทิ้งตัวลงนอนแล้วนึกถึงเรื่องที่ผ่านมา
เขานึกถึงท่านอนประหลาดๆของลูกหมีสองตัวนั้น
เขานึกถึงตอนที่ปาซูเกือบจมบ่อน้ำพุ นึกถึงตอนที่รินตกจากต้นไม้
นึกถึงปลาตัวแรกที่สองพี่น้องจับได้ ทั้งสองกินหมดเกลี้ยงทันทีเลย
นานากิยิ้มทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุด
ลาก่อน โลกแห่งสัตว์ป่า นานากิลุกขึ้นแล้วออกเดินทางไปยังตะวันออก พอเดินมาได้สักพักเขาก็เปลี่ยนใจแล้วตรงขึ้นเหนือ
ซิดกำลังวุ่นอยู่กับการพัฒนาเรือเหาะใหม่ในเมืองจรวด
แต่เขาก็บอกให้นานากิพักที่นี่เพื่อรักษาแผลให้หายเสียก่อน
นานากิใช้เวลาเดินดูเรือเหาะที่ใกล้เสร็จห่างๆเพื่อไม่ให้เกะกะคนงาน
พอได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขก็รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วกว่าปกติ
นับจากตอนที่เขาอาศัยอยู่กับพี่น้องหมีนีเบิลก็ล่วงมาเกือบสองปีแล้ว
ซิดเองก็ประหลาดใจที่เขาพบนานากิครั้งสุดท้ายมันผ่านมาตั้งสองปีแล้วเหมือนกัน
วันหนึ่งเรือเหาะสร้างเสร็จสมบูรณ์ ซิดซึ่งกำลังอารมณ์ดีได้ชวนนานากิขึ้นไปทดสอบบินด้วยกัน ซึ่งนานากิก็ดีใจมาก
"เกิดมันตกขึ้นมาก็ช่วยไม่ได้นะ อย่ามาโกรธแค้นชั้นแล้วกันนะพวก" ซิดบอก
ช่วยไม่ได้งั้นเรอะ พูดได้ดีแฮะ นานากิคิด
เมื่อขึ้นไปบนฟ้าแล้วทุกคนจะเห็นว่าโลกก็เป็นเพียงสถานที่เล็กๆ ยิ่งกับนานากิที่ออกท่องโลกมาแล้วยิ่งคิดแบบนั้น
ต้องขอบคุณซิดที่ให้โอกาสเราได้ขึ้นมามองโลกจากบนนี้
นี่คือโลกที่เราจะต้องอยู่ไปอีกหลายร้อยปี
แต่ก็ยังคงมีเรื่องที่เราไม่ค่อยเข้าใจนัก
เรายังคงต้องเห็นต้องเรียนรู้อีกมาก พอเขารู้สึกว่าโลกไม่ได้กว้างใหญ่ไพศาลนักแล้วก็เริ่มมีความกล้าที่จะคิดว่าการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
"โลกกำลังคอยฉันอยู่"
"แกว่าไงนะ? อย่าเพิ่งโม้สิวะ ....หือ? เฮ้ยๆ ดูนั่นสิ"
"อะไรเหรอ?"
"นั่นยุฟฟี่นี่ ยัยนั่นมาทำอะไรแถวนี้กันนะ?"
พอได้มาพบยุฟฟี่อีกครั้งนานากิก็รู้สึกผิด
ยุฟฟี่บอกให้เขาช่วยออกหาข้อมูลเรื่องโรคแต่เขาไม่ได้ทำอะไรเลย
เขาพยายามทำตัวร่าเริงกลบเกลื่อน
สักพักซิดก็หลบฉากไปปล่อยยุฟฟี่ไว้กับนานากิ
ยุฟฟี่พูดคำที่เธอพูดประจำว่าออกไปตามล่ามาทีเรียด้วยกันเถอะ
เธอไม่ได้เปลี่ยนไปสักนิด
ตอนนั้นเขาโกรธเพื่อนของเธอที่ชื่อยูริเลยบอกเธอไปด้วยอารมณ์โกรธว่าไม่มีมาทีเรียที่รักษาโรคนี้ได้
แต่ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่ามาทีเรียที่ใช้รักษาโรคที่เรียกว่าจีโอสติ๊กม่า
ตามที่คนในเมืองจรวดเรียกกันนี้ ไม่มีอยู่จริง
ถ้าระหว่างที่เขาอาศัยอยู่ในป่า ยุฟฟี่ใช้เวลาออกหาวิธีรักษาโรคที่ว่านี้แล้วยังไม่พบก็แสดงว่ามันคงไม่มีทางรักษานั่นแหละ
พอเขาบอกยุฟฟี่ไปแบบที่เขาเชื่อเธอก็มองมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
"ขอโทษนะ ฉันจะช่วยเธอหาอีกแรง" นานากิให้สัญญา
ยุฟฟี่และนานากิเข้าไปในถ้ำของทุ่งหิมะตอนเหนือที่คิดว่าน่าจะมีมาทีเรียอยู่ แต่ก็ไม่พบอะไร
"เฮ้อ... ไม่มีจริงๆด้วย เซ็งเลยชั้น!" ยุฟฟี่พูด
"ยอมแพ้แล้วเหรอ?"
"ยัง เราจะหาต่อไป ความหวังของพวกเขาขึ้นอยู่กับชั้นนะ"
"หมายความว่าไง?"
"นี่เป็นถ้ำแห่งสุดท้ายที่เรารู้ว่ามีมาทีเรียอยู่
แต่เราอาจพลาดจุดเล็กๆไปก็ได้นะ ลองกลับไปหาดูอีกทีดีกว่า
อย่ามัวเสียเวลาพูดอยู่เลย"
ยุฟฟี่สอนศิลปะการป้องกันตัวให้พวกคนป่วย ทีแรกก็มีแต่พวกเด็กๆมาเรียนกัน ต่อมาก็มีคนป่วยฝึกร่างกายตามที่ยุฟฟี่แนะนำมากขึ้นเรื่อยๆ
"โรคนี้เป็นโรคติดต่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะติดใครก็ได้
มันจะแทรกเข้าไปในช่องว่างจิตใจของคนที่กำลังกังวล, ทนทุกข์,
หรือหมดหวังในชีวิต
เพราะงั้นถ้าพวกเขาฝึกศิลปะป้องกันตัวและคอยออกกำลังสม่ำเสมอก็จะได้ไม่มี
เวลาคิดเรื่องพวกนั้น
พอเหนื่อยมากๆตกกลางคืนก็หลับสนิทแบบไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องวุ่นๆ
เพราะงั้นชั้นเลยอยากให้เราเองก็พยายามเต็มที่ในส่วนของเราด้วย"
ยุฟฟี่มองนานากิแล้วยิ้ม
"เธอว่าไงล่ะ?"
"เห็นด้วย เห็นด้วยสุดๆเลย"
"เย้!"
ยุฟฟี่กระโดดกอดนานากิแล้วลูบขนเหมือนเล่นกับหมา
"อย่านะ!"
"หือ? ไม่ทันได้สังเกตแผลนายเต็มตัวเลยแฮะ ไปทำอะไรมาน่ะ?"
นานากิคิดอยู่สักพักก่อนตอบออกมา
"ฉันกำลังเดินทางเพื่อบันทึกเรื่องราวของโลก"
ถึงการเดินทางจะแตกต่างจากที่เขาคิดไว้ทีแรก แต่มันก็เติมเต็มสิ่งที่เขาแสวงหา
เขาจดจำเรื่องราวทั้งหมดได้
และมันก็ช่วยให้เขาเข้าใจหลายๆสิ่งที่ไม่มีวันเข้าใจได้ถ้าไม่ได้ประสบเองกับตัว
"ไม่ต้องมาทำเท่เลยเบื๊อกเอ๊ย~"
ยุฟฟี่โอบรอบคอเขาอีกครั้งแล้วก็พูดขึ้น
"สู้ต่อไปนะ นานากิ"
หลังแยกจากยุฟฟี่มาแล้วนานากิก็ออกเดินทางตามที่เขาต้องการ เมื่อเจอสัตว์ป่า
บางทีเขาก็คิดว่าเขาอาจอยู่ร่วมกับพวกมันได้
เมื่อเจอมนุษย์เขาก็เข้าไปคุยกับพวกเขา
เขาพยายามเรียนรู้ความจริงจากทุกสิ่ง ไม่ว่าจะผิดหรือถูก
แล้วชื่อในความทรงจำของนานากิก็เพิ่มขึ้น คิร่า คิร่า, ดอลลี่ ธิฟ, ไค,
คุโม นากาเระ, เลิฟ, เสียงร่ำไห้จากต้นไม้ --
เขาตั้งชื่อให้กับความทรงจำที่มีคุณค่าแม้ว่าบางครั้งพวกมันนำมาซึ่งความ
เจ็บปวด
หลังจากเวลาผ่านไปหลายวัน
กิลลิแกนก็กลับมาขณะที่เขาอยู่ตัวคนเดียว
ดูเหมือนมันจะเติบโตขึ้นตามวันเวลาด้วย
นั่นก็เป็นเพราะยิ่งพบเจอหลายสิ่งหลายอย่าง
ความกลัวที่จะสูญเสียก็ยิ่งมากขึ้น
ตัวจริงของกิลลิแกนคือความหวาดกลัวต่อความสูญเสีย นานากิเคยคิดว่าพอรู้ตัวจริงของมันแล้วเขาจะไม่กลัวมันอีกต่อไป
แต่เขากลับสั่นไม่หยุดจนสักพักเขาจึงระงับความกลัวได้
ทำไมกัน? เขาคิดว่าเขาอาจเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของกิลลิแกนผิดไป
แล้วเขาก็เริ่มค้นหาตัวตนของกิลลิแกนอีกครั้ง
เขารู้ว่ามันคือความกลัวที่แผ่ขยายครอบงำจิตใจเขา
แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวตนของมันคืออะไรกันแน่
"กิลลิแกนงั้นเหรอ?"
นานากิได้พบกับวินเซนต์อีกครั้งแถวทะเลสาบที่นครสาบสูญ
"ฉันว่าฉันรู้นะว่ามันคืออะไร"
"จริงเหรอ? เล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ"
"สักวันนายจะต้องประสบกับความสูญเสียใหญ่หลวง
นายกำลังคิดถึงช่วงเวลาเหล่านั้นด้วยความหวาดกลัว ซ้ำแล้วซ้ำอีก นานเข้าๆ
จนวันหนึ่งนายจะชินกับมันและก็หัวเราะรับมือมันได้เอง"
"อืม นายอาจพูดถูก"
"กิลลิแกนมาจากอนาคตอันแสนไกล อนาคตที่จิตใต้สำนึกของนายกำลังหวาดกลัว"
"เอ๋?"
"มันรู้ทุกเรื่องเหมือนๆกับที่นายรู้ นายผ่านมาหลายอย่าง ประสบกับหลายเรื่อง
แล้วก็ตั้งชื่อให้กับความทรงจำเหล่านั้น
ลองนึกถึงเวลาที่นายสูญเสียทุกอย่างที่มีแต่นายเท่านั้นที่รู้สิ
ตอนนั้นจะไม่มีใครแบ่งปันความเจ็บปวดกับนายได้หรอกนะ"
"อืมม..."
ระหว่างที่นานากิกำลังครุ่นคิด กิลลิแกนก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
นานากิพยายามฝืนไม่ให้ตัวสั่นและจินตานาการออกมาเป็นภาพ
เขามองเห็นตัวเองวิ่งขึ้นไปบนเนินมองลงมายังมิดการ์ที่ถูกปกคลุมด้วยพืชที่
เขาไม่รู้จักมาก่อนด้วยซ้ำ พวกมนุษย์เองก็อยู่ท่ามกลางธรรมชาตินั้น
แต่ไม่มีคนที่เขารู้จักเลย เขาคิดว่าจะลองลงไปคุยกับคนพวกนั้นดู
แต่ก็คงไม่มีคนตอบกลับมาหรอกว่า "ไงพวก นายสบายดีมั้ย?"
"เราเหลือตัวคนเดียว"
นานากิพูดพลางตัวสั่น
"เรามีอายุยืนยาวจนวันถึงหนึ่งเราก็จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว นั่นสินะตัวจริงของกิลลิแกน ...ความหวาดกลัวต่อการอยู่ตัวคนเดียว"
"ดีซะอีกจะได้ไม่มีอะไรต้องห่วง"
"อย่าพูดเป็นเล่นนะ!"
วินเซนต์ยิ้มตอบนานากิที่กำลังโกรธแล้วพูดขึ้น
"งั้นก็อย่านึกภาพที่นายต้องอยู่ตัวคนเดียวสิ นายอาจมีลูกนะ"
"ลูกงั้นเหรอ? ฉันยังนึกภาพไม่ออกเลย ตอนนี้ที่นึกถึงก็มีแค่หมีนีเบิลพวกนั้นเอง"
"งั้นเอางี้ นายแวะไปมิดการ์ปีละครั้งนะ ฉันจะคอยอยู่ที่นั่น แล้วจะคอยฟังเรื่องสัพเพเหระที่นายเล่า"
พอได้เห็นวินเซนต์พูดจริงจังแล้วนานากิก็หยุดสั่น กิลลิแกนหายตัวไป
"หายกลัวแล้วสินะ"
"ฮื่อ แต่วันนึง แม้แต่วินเซนต์เองก็คง...."
"ไม่มีทางหรอก ฉันเป็นอมตะนะ ถึงอาจจะไม่ใช่เรื่องน่ายินดีนักก็เถอะ"
"ฉัน...."
นานากินึกถึงความโดดเดี่ยวที่วินเซนต์ต้องเผชิญ แม้เขาจะอายุยืนวันหนึ่งเขาก็ต้องตาย แต่วินเซนต์นั้น....
"นี่ ตอนที่ฉันยังมีชีวิตอยู่เรามาพบกันบ่อยๆนะ จะได้คุยกัน"
วินเซนต์มองนานากิแล้วตอบ
"ปีละหนก็พอแล้ว ขอโทษด้วยนะถ้านายอยากมาเจอฉันบ่อยกว่านั้น"
พอพูดจบวินเซนต์ก็เอาผ้าคลุมปิดหน้า นานากิสังเกตเห็นผ้าคลุมกระเพื่อม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นวินเซนต์หัวเราะ
"กิลลิแกน นายเรียกมันว่ากิลลิแกนสินะ"
"เออ หัวเราะซะให้พอ"
"โทษทีนะ"
วินเซนต์หัวเราะออกมา สักพักนานากิก็หัวเราะตาม
เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้ยินเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่วนครสาบสูญนับตั้งแต่ครั้งที่เซทราอาศัยอยู่บริเวณนี้
จบเรื่องราวของนานากิ